gedgoodlife

5 เช็คลิสต์ที่ควรรู้ สำหรับชาวภูมิแพ้ที่อยากมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน

  1. เช็คให้ชัวร์ ก่อนรับมาเลี้ยง ประเมินสัตว์เลี้ยงชนิดนั้น ๆ ว่ามีสารกระตุ้นภูมิแพ้ของคุณหรือไม่ 2. ความสะอาดภายในบ้านเป็นสิ่งสำคัญ หมั่นดูแลทำความสะอาดบ้านให้มากยิ่งขึ้น 3. อาบน้ำ ชำระล้างสิ่งสกปรกเป็นประจำ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่ผิวหนังของสัตว์เลี้ยงให้เบาบางลงมากที่สุด 4. รักแค่ไหนก็ต้องห้ามใจ หลีกเลี่ยงการจูบ หอม กอด สัตว์เลี้ยง และควรล้างมือ หน้า และตัวด้วย 5. หาตัวช่วยเพื่อรับมือกับอาการแพ้ ใช้เครื่องฟอกอากาศ ยาต้านฮีสตามีย ยาพ่นจมูก พ่นเข้าปาก อ่านบทความฉบับเต็มที่นี่ -> เช็คลิสต์สำคัญ สำหรับชาวภูมิแพ้ที่คิดจะมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้  ได้ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่ ติดตาม GedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่… Facebook : GEDGoodLife Nutroplex : nutroplexclub Twitter      5 เช็คลิสต์ที่ควรรู้ สำหรับชาวภูมิแพ้ที่อยากมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน

งานการไม่ต้องทำ ไข้ขึ้น ทั้งวันทำไงดี?

  ไม่มีใครอยากป่วย ต่อให้แค่ปวดหัว เป็นไข้ เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่อยากเป็น โดยเฉพาะถ้าเกิดมาป่วยในวันที่ต้องไปเรียน หรือไปทำงานด้วยแล้วละก็ อาการปวดหัวตัวร้อน ก็จะยิ่งทำให้วันเวลาของคุณยากลำบากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเกิดมี ไข้ขึ้น แต่ก็ยังต้องทำงานอยู่ดีล่ะ? จะทำยังไงดี อาการป่วยถึงจะไม่กระทบกับงานของคุณ ไข้ขึ้น ตลอดทั้งวัน เราควรทำยังไงดี? 1. กินยาลดไข้ วิธีที่ได้ผลที่สุด และยังเป็นวิธีที่เร็วที่สุดด้วย แต่อย่าลืมว่า การกินยาเป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น ยาจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวตัวร้อนให้คุณได้ชั่วคราว สิ่งที่ทำให้คุณหายจากอาการไข้ได้อย่างแท้จริง ก็คือการพักผ่อน อย่าลืมอ่านฉลากยาก่อนกินยา และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยล่ะ แล้วก็อย่าลืมว่า ยาแก้ไข้บางชนิด อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้คุณง่วงนอนได้   2. ดื่มน้ำมาก ๆ เวลามีไข้ ร่างกายของคุณจะเกิดอาการขาดน้ำได้ง่ายกว่าปกติ ให้ดื่มน้ำอุ่น 8-12 แก้วต่อวัน ประโยชน์ของการดื่มน้ำสามารถขับไข้ได้โดย น้ำจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ลดไข้ ทำให้ร่างกายเย็นลง และยังลดการอักเสบ การติดเชื้อ แถมยังช่วยเอาสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย การดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ก็ช่วยได้เช่นกัน เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำแล้ว ยังสามารถช่วยชดเชยเกลือแร่ที่เสียไปได้อีกด้วย การดื่มน้ำผลไม้อย่างน้ำส้มแท้ ๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีเพิ่ม การดื่มชาสมุนไพรช่วยขับเหงื่อ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน งานการไม่ต้องทำ ไข้ขึ้น ทั้งวันทำไงดี?

แชร์ประสบการณ์ ตีแผ่ชีวิตพนักงานบริษัทกับอาการกรดไหลย้อน และวิธีดูแลตัวเอง

  กรดไหลย้อน เป็นโรคที่หลายคนอาจจะเคยได้ยิน แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว จริง ๆ แล้วคิดผิดเลยค่ะ เราทุกคนมีโอกาสเป็นกรดไหลย้อนได้ง่ายมาก ๆ ยิ่งถ้าต้องทำงานทุกวัน หรือไม่มีเวลาดูแลตัวเองเมื่อไหร่ กรดไหลย้อนได้ถามหาแน่นอนค่ะ สำหรับตัวเองที่มีประสบการณ์เจอกับอาการของกรดไหลย้อนนั้นเป็นช่วงที่จำได้ไม่ลืมเลย เลยอยากจะมาแชร์ หรือเรียกว่าตีแผ่ชีวิตก็ได้ค่ะ ว่าชีวิตแต่ละวันต้องเจอกับอะไรบ้าง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าประมาท และอย่าใช้ชีวิตแบบอิชั้นเลย ตอนนั้นเป็นช่วงที่ยุ่งกับงานมากกกกกกก ด้วยงานที่ทำอยู่เป็นงานขาย ที่ต้องมียอด มีเป้าแต่ละเดือน ต้องออกไปเจอลูกค้าแทบทุกวัน ตื่นเช้ามาก็ต้องคิดแล้วว่าวันนี้จะเจอกับอะไรบ้าง ต้องออกไปไฝว้ รบรากับลูกค้าเรื่องอะไร ไม่พอกลับมาออฟฟิศก็เจอหัวหน้า ที่คอยจ้องตามงาน ตามยอดตลอดเวลา เรียกได้ว่าความเครียดรุมเร้าเช้าจรดเย็น เวลากินข้าวแต่ละวัน อย่าเรียกว่ากินเลยค่ะ เรียกว่ายัดเข้าไปดีกว่า เพราะไม่เคยได้นั่งกินข้าวชิล ๆ เป็นเวลา ไม่ดูแลตัวเองเลย กินบ้างไม่กินบ้าง บางทีรีบ ๆ ไปหาลูกค้า หรือรถติด ๆ ก็กระดกแค่กาแฟแก้วเดียว กระดูกพรวดเข้าไปแทบไม่เคยรู้สึกถึงรสชาติเลย ขอแค่มีคาเฟอีนเข้าร่างกายพอ กินเยอะ กินรสจัด กินไม่เป็นเวลา กินแล้วนอนเลย กลางวันก็รีบ ๆ กิน ไม่เคยเลือกอาหารเลย อาหารรสจัด มัน แชร์ประสบการณ์ ตีแผ่ชีวิตพนักงานบริษัทกับอาการกรดไหลย้อน และวิธีดูแลตัวเอง

นอนดีมีวินัย สร้างโลกสดใส จิตใจแข็งแรง – 11 มีนาคม 2565 “วันนอนหลับโลก”

  “วันนอนหลับโลก : World Sleep Day” เกิดขึ้นในวันศุกร์ สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม กำหนดโดย สมาคมการแพทย์เพื่อการนอนหลับโลก (The World Association of Sleep Medicine : WASM) เพื่อให้ความสำคัญกับการนอนหลับ ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด และ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย คำขวัญวันนอนหลับโลก ปี 2565 “นอนดีมีวินัย สร้างโลกสดใส จิตใจแข็งแรง” – QUALITY SLEEP | SOUND MIND | HAPPY WORLD   อ่านบทความเพิ่มเติม – ฮาวทู “นอนเพื่อสุขภาพ” ควรนอนอย่างไรดี? ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้  ได้ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่ ติดตาม GedGoodLife ช่องทางอื่น นอนดีมีวินัย สร้างโลกสดใส จิตใจแข็งแรง – 11 มีนาคม 2565 “วันนอนหลับโลก”

ทำยังไงดี? ไวรัสโรต้า ระบาดหนัก ไม่มียาแก้!

  ไวรัสโรต้า (Rotavirus) คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการท้องร่วง ท้องเสีย ซึ่งอาการท้องร่วง หรือท้องเสียที่เกิดจากเชื้อไวรัสโรต้า จะมีอาการถ่ายท้อง หรือถ่ายอุจจาระเหลวมากผิดปกติควรระวังไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำจนช็อก โดยในเด็กเล็ก ๆ อาจมีอาการรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ ซึ่งต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ข้อเท็จจริงของ ไวรัสโรต้า • เกิดขึ้นได้ทุกฤดูกาล แต่มักแพร่ระบาดมากขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง หรือในช่วงฤดูหนาวของทุก ๆ ปี • ท้องร่วงจากไวรัสโรต้า มักเกิดในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุ 6 เดือน – 2 ปี แต่ในเด็กโต หรือในผู้ใหญ่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่มักจะเจอน้อย หรืออาการไม่รุนแรงเท่ากับในเด็กเล็ก • การติดเชื้อไวรัสโรต้าครั้งแรกมักมีอาการรุนแรง แต่การติดเชื้อครั้งต่อไปอาการจะรุนแรงน้อยลง อาการท้องร่วง ท้องเสีย จาก ไวรัสโรต้า อาการท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า จะมีอาการใกล้เคียงกับอาการท้องร่วงทั่วไป เช่น อาหารเป็นพิษ ( Link : https://www.gedgoodlife.com/blogs/1268-อาหารเป็นพิษ ) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสอื่น ทำยังไงดี? ไวรัสโรต้า ระบาดหนัก ไม่มียาแก้!

อยากลำไส้ดี ย่อยง่าย ต้องกินและเลี่ยง 6 เมนูนี้!

  6 เมนูอาหารที่ย่อยได้ง่าย เป็นมิตรต่อลำไส้ ได้แก่ 1. ข้าวต้มหมูสับ 2. เต้าหู้ทรงเครื่อง 3. แกงจืดวุ้นเส้น 4. ซุปมักกะโรนี 5. ผัดผักรวมมิตร 6. สับปะรด มะละกอ ข้อดี ของอาหารที่ย่อยง่าย 1. ดูดซึมง่าย 2. ขับถ่ายง่าย 3. เคี้ยวง่าย 4. สบายท้อง 5. แคลอรีต่ำ 6. ดีต่อผู้ป่วย 6 เมนูอาหารที่ย่อยยาก ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ 1. ของทอด ของมัน 2. อาหารไขมันสูง 3. เมนูต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมของกะทิสูง 4. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 5.เนื้อสัตว์ติดมัน 6. นมวัว ข้อเสีย ของอาหารที่ย่อยยาก 1. ท้องอืด ท้องเฟ้อ 2. มีลมในท้อง อยากลำไส้ดี ย่อยง่าย ต้องกินและเลี่ยง 6 เมนูนี้!

ตัดพ้อ หดหู่… ภาวะซึมเศร้า ของผู้สูงวัย ควรดูแลอย่างไรดี?

  ภาวะซึมเศร้า เป็นโรคที่พบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน โรคที่ทำร้ายทั้งร่างกาย และจิตใจของผู้ป่วยนี้ ต้องใช้ความใส่ใจอย่างมากจึงจะสามารถสังเกตเห็นได้ ข้อมูลของกรมสุขภาพจิตระบุว่า คนไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาถึง 1.5 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน 62% ส่วนอันดับที่ตามมาอีก 26.5% นั้นเป็นวัยชรา หรือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยมีแนวโน้มว่าอัตราผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นมากกว่าคนในกลุ่มอายุอื่น ๆ เนื่องจากผู้สูงอายุมีปัจจัยในการเกิดโรคซึมเศร้าได้ง่ายกว่ากลุ่มอายุอื่นมาก ทดสอบอาการซึมเศร้าได้ที่ —> แบบประเมินโรคซึมเศร้า 9 คำถาม ซึ่งสาเหตุของโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุมักเกิดจาก… • โรคทางกายในผู้สูงอายุ เช่น ภาวะสมองเสื่อม หลอดเลือดสมองอุดตัน เป็นต้น • ผลข้างเคียงจากยาที่ใช้เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ • สารสื่อประสาทในสมองบางชนิดลดน้อยลง • มีเหตุการณ์ร้ายแรงกระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสียคนที่รัก เป็นโรคร้ายแรง มีปัญหาด้านการเงิน ขาดการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวและคนรอบข้าง รู้ได้อย่างไรว่าผู้ใหญ่ในบ้านมี ภาวะซึมเศร้า? ผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้า มักมีอาการดังต่อไป • เบื่อหน่าย สนใจสิ่งต่าง ๆ น้อยลง หรือหมดความสนใจ ตัดพ้อ หดหู่… ภาวะซึมเศร้า ของผู้สูงวัย ควรดูแลอย่างไรดี?

“วิกฤตชีวิต ตกงาน จนจิตตก” คิดบวกอย่างไร ให้ชีวิตดี๊ดี

  เมื่อก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ทุกคนคงคาดหวังว่างานที่ทำอยู่จะเป็นงานที่ดี มั่นคง เป็นชีวิตที่มีความสุข หลายคนทุ่มเทชีวิตเพื่องาน เพื่อรากฐานชีวิต และอนาคตที่มั่นคง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังเสมอไป เพราะเราอาจ ตกงาน ได้ไม่โดยไม่รู้ตัว! งานที่เหมือนจะดีสมบูรณ์สำหรับเรา หน้าที่การงานที่ดูเหมือนกำลังไปได้ดีก็อาจจะหยุดชะงักลงไป หลายคนตกงานด้วยความสมัครใจ เพราะค้นพบว่างานที่ทำไม่ใช่สำหรับตัวเอง แต่หลายคนก็ตกงานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เมื่อตกงาน สภาพจิตใจเป็นเรื่องที่ต้องเยียวยา ดูแลกันให้ดีที่สุด หลายคนตกงาน จิตตก แต่อย่าปล่อยให้ความเครียดนี้อยู่กับเรานานเกินไป ในช่วงที่กำลัง ตกงาน ท้อแท้ เรามามองหามุมดี ๆ คิดบวกให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปกันเถอะ ตกงานทำให้ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ – ในช่วงที่เรามีงานทำ เราอาจจะทำงานในหน้าที่ของตัวเองอยู่ จนไม่ดิ้นรน หรือไม่เคยรู้เลยว่าเรายังทำอะไรได้อีกมากมายหลายอย่างนัก เราอาจพบว่างานที่เราเคยทำใช้ศักยภาพความสามารถของเราไปไม่ไม่ถึง 10% เลยก็เป็นได้ เพราะในยามที่เราลำบาก มนุษย์เราจะดึงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวออกมาได้อีกมากมาย ขอเพียงอย่าวนเวียนคิดว่าตกงาน ท้อแท้ เครียด แล้วก็จมอยู่กับความคิดนี้ ตกงานทำให้มีโอกาสเริ่มต้นธุรกิจ เป็นเจ้านายตัวเอง – จากศักยภาพที่เราค้นพบในตัวเอง อาจเป็นโอกาสที่เราจะได้นำมาใช้ หรือหลายคนเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามกำลังของตัวเอง เมื่อชำนาญขึ้น “วิกฤตชีวิต ตกงาน จนจิตตก” คิดบวกอย่างไร ให้ชีวิตดี๊ดี

MIS-C ภาวะหลังหายป่วยโควิด-19 ในเด็ก ที่ผู้ปกครองต้องเฝ้าระวัง!

  ภาวะ MIS-C (Multisystem Inflammatory Syndrome in Children) คือ กลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก หลังหายจากโรคโควิด-19 เด็กจะเริ่มมีอาการได้ตั้งแต่ระยะหายจากโรค จนถึงหลังติดเชื้อ 2-6 สัปดาห์ อาการที่พบในภาวะ MIS-C มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส นานเกิน 24 ชั่วโมง มีผื่นขึ้นตามตัว ปากแดง ตาแดง ปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเหลว บางรายมีหอบเหนื่อย ปอดอักเสบ ติดตาม GedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่… Facebook : GEDGoodLife Nutroplex : nutroplexclub Twitter      : @gedgoodlife Line          : @gedgoodlife Youtube   : GEDGoodLife ชีวิตดีดี TikTok      MIS-C ภาวะหลังหายป่วยโควิด-19 ในเด็ก ที่ผู้ปกครองต้องเฝ้าระวัง!

“โรคเครียดลงกระเพาะ” ภัยใกล้ตัวของมนุษย์เงินเดือน

  ผ่อนคลายบ้าง… เพราะความเครียดสะสมคือจุดเริ่มต้นของโรคร้ายหลายโรคเลยทีเดียว และหนึ่งในโรคยอดนิยมที่เกิดจากความเครียดสะสมเป็นประจำทุกวันของเหล่ามนุษย์เงินเดือน หรือชาวออฟฟิศนั้น ก็คือ “โรคเครียดลงกระเพาะ” นั่นเอง โรคนี้เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดอาการ ปวดท้อง อึดอัดท้อง ระบบการถ่ายอุจจาระเปลี่ยนไป… มาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น ว่าจะมีอาการ วิธีดูแลรักษา อย่างไรบ้าง… ทำความรู้จักกับ โรคเครียดลงกระเพาะ โรคเครียดลงกระเพาะ (Nervous stomach) โรคยอดนิยมของคนวัยทำงาน ซึ่งโรคเครียดลงกระเพาะ แท้จริงแล้วก็คือโรคกระเพาะที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการกินอาหารไม่ตรงเวลา (ไม่มีแผลที่กระเพาะอาหาร) แต่เป็นการสั่งการของสมอง ยิ่งเครียดก็ยิ่งกระตุ้นให้กระเพาะเกิดการบิดตัว และหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ ทำให้เมือกในกระเพาะอาหารเสียสมดุล และเกิดการระคายเคืองในช่องท้องได้ โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุ กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือ 18-35 ปี เกิดจากกลุ่มช่วงอายุดังกล่าว จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง เช่น เข้ามหาวิทยาลัย เข้าทำงาน แต่งงาน หรือมีลูก จึงเกิดความเครียด และกระตุ้นให้เกิดอาการลำไส้แปรปรวน และมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าที่จะมีอารมณ์แปรปรวนได้มากเสี่ยงต่อโรค โรคเครียดลงกระเพาะ เกิดจากสาเหตุใด? “ความเครียดสะสม” คือสาเหตุหลักของโรคเครียดลงกระเพาะ เพราะเมื่อเราเครียดมาก ๆ ฮอร์โมนในร่างกายจะเกิดความแปรปรวน ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก และกระเพาะอาหารจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลทำให้ระบบการทำงานย่อยอาหารแย่ลงได้ ผลกระทบอื่น “โรคเครียดลงกระเพาะ” ภัยใกล้ตัวของมนุษย์เงินเดือน

จัดบ้านยังไงให้เป็นพื้นที่ “เซฟโซน” สำหรับคนเป็นภูมิแพ้

  เคยเป็นไหม กลับเข้ามาในบ้านทีไร มีอาการภูมิแพ้กำเริบทุกที! ทั้งน้ำมูกไหล ไอ จาม ลามไปถึงคันตามผิวหนัง อาการภูมิแพ้เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะ ภายในบ้านเรามีแต่ฝุ่น เชื้อโรค นั่นเอง ฉะนั้นถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องปรับเปลี่ยน จัดบ้านใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม เพื่อให้บ้านเป็นพื้นที่ “เซฟโซน” สำหรับชาวภูมิแพ้ ด้วย 6 วิธีนี้ จัดห้องให้โล่งอย่ามีของเยอะ เพื่อหลีกเลี่ยงฝุ่น ซักผ้าปูที่นอนทุก 1-2 อาทิตย์ เพื่อกำจัดไรฝุ่น เลี่ยงเฟอร์นิเจอร์ที่เก็บกักฝุ่นง่าย เช่น โซฟา พรม ผ้าม่าน ติดตั้งเครื่องกรองอากาศ ช่วยลดฝุ่นในบ้านได้เป็นอย่างดี หมั่นล้างแอร์ทุก 6 เดือน เพื่อฆ่าเชื้อโรค และฝุ่น ปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ เช่น ต้นพลูด่าง ลิ้นมังกร เดหลี อ่านเพิ่มเติม :  ฝุ่นไรมันเยอะ! มาดูวิธีทำความสะอาดบ้าน ให้ห่างไกลจากภูมิแพ้กันดีกว่า 9 เคล็ดลับกำจัดฝุ่นในห้องนอน ห่างไกลภูมิแพ้ ลดอาการคันยุบยิบตามร่างกาย 8 ต้นไม้ไล่ภูมิแพ้ จัดบ้านยังไงให้เป็นพื้นที่ “เซฟโซน” สำหรับคนเป็นภูมิแพ้

8 วิธีเด็ด! สร้าง ภูมิคุ้มกันโรค ตั้งแต่ต้นปี

  ใครบ้างจะอยากป่วย เพราะนอกจากจะรู้สึกทรมานแล้ว ยังทำให้เสียเวลาในการพักรักษาตัวอีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่า เพียงแค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง ก็สามารถช่วยสร้าง ภูมิคุ้มกันโรค และลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยได้แล้ว มาดูกันดีว่าวิธีเด็ดๆ ในการสร้างภูมิคุ้มกันที่เรานำมาฝากนั้นมีอะไรบ้าง ไปเริ่มต้นสู่การมีสุขภาพดีกันตั้งแต่ต้นปีเลย! 8 วิธีสร้าง ภูมิคุ้มกันโรค 1. ออกกำลังกายทุกวัน การออกกำลังกายเป็นยาครอบจักรวาลที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้คุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรคที่มองไม่เห็น และช่วยลดโอกาสการเป็นโรคสุดฮิตอย่างไข้หวัด ลงไปได้เยอะ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็สามารถช่วยให้คุณหายป่วยเร็วขึ้นได้ 2. ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ การดื่มน้ำเปล่า นอกจากจะทำให้ร่างกายชุ่มชื้นแล้ว ยังเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญในการช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี การดื่มน้ำเมื่อไม่สบาย ยังช่วยกำจัดโรคที่กำลังก่อตัวขึ้นได้อีกด้วย แต่ต้องระวังว่า อย่าดื่มน้ำระหว่างทานอาหารมากเกินไป เพราะจะทำให้มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อขึ้นมาได้เหมือนกัน 3. นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การอดนอนจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น การนอนหลับอย่างเพียงพอในแต่ละคืน ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติได้ 4. เลิกสูบบุหรี่ พยายามหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ การสูบบุหรี่ หรือแม้แต่การสูดควันบุหรี่เข้าปอด สามารถก่อให้เกิดโรคร้ายมากมาย ทั้งโรคปอด โรคมะเร็ง รวมไปถึงโรคไอเรื้อรัง และทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายลดลง 8 วิธีเด็ด! สร้าง ภูมิคุ้มกันโรค ตั้งแต่ต้นปี

“ถึงป่วยก็เที่ยวเมืองนอกได้” จะ เตรียมยา อย่างไร ไม่ให้โดนจับ!

  คุณเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้ว ซื้อตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม ลิสต์รายการสถานที่ที่อยากไป รวมถึงอาหารที่ต้องชิม แล้วสุขภาพของคุณล่ะ ได้เตรียมหรือยัง? การ เตรียมยา ติดตัวไปต่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งยาประจำตัว เช่น ยารักษาโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน และยาสามัญทั่วไป เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด แต่ยาเหล่านี้ก็อาจสร้างปัญหาให้กับการเดินทางของคุณได้อย่างไม่คาดฝันเช่นกัน มาดูกันดีกว่า เตรียมยา ไปเที่ยวแบบไหนให้ปลอดภัยไร้ปัญหา 1. ตรวจสอบกฎหมายระหว่างประเทศในการนำเข้ายา แต่ละประเทศมีกฎหมายในการใช้ยาที่แตกต่างกัน ยาที่ถูกกฎหมายในบ้านเราอาจจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศที่คุณกำลังจะเดินทางไปก็ได้ คุณจึงควรตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ หรือโทรไปสอบถามกับทางสถานทูตให้แน่ใจตั้งแต่ก่อนเดินทางว่า ยาที่คุณจำเป็นต้องใช้ หรือกำลังจะพกไปด้วย จัดอยู่ในกลุ่มสารต้องห้ามของประเทศนั้นหรือไม่ ถ้าคุณคงไม่อยากมีปัญหาที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เพราะยาแค่ไม่กี่เม็ดหรอก จริงมั้ย? 2. พกใบรับรองแพทย์เป็นภาษาอังกฤษไปด้วยทุกครั้ง หากคุณป่วย หรือมีโรคประจำตัวที่ต้องกินยาอยู่เสมอ การพกใบรับรองแพทย์ติดตัวไปเที่ยวด้วย ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องการพกยาได้มากทีเดียว อย่าลืมว่าใบรับรองแพทย์นี้ต้องเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ 3. ห้ามแกะยาออกจากฉลากหรือซองยาเด็ดขาด! คนที่ต้องทานยาอยู่เป็นประจำอาจจะเคยชินกับการแกะยาออกจากแผงมาจัดเป็นชุดเองเพื่อความสะดวกในการทานยาแต่ละครั้ง แต่ถ้าหากคุณกำลังจะเดินทางไปเมืองนอกแล้วละก็ เราขอแนะนำว่าอย่าทำดีกว่า เพราะเมื่อแกะยาออกจากแผงแล้ว คุณก็จะไม่มีหลักฐานที่ช่วยระบุว่ายาที่คุณนำไปนั้นเป็นยาชนิดใดอีกต่อไป 4. ตรวจดูวันหมดอายุของยา การกินยาหมดอายุไม่ช่วยให้หายป่วย และยังอาจมีอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายได้อีกด้วย นอกจากนี้ การซื้อยาที่ต่างประเทศก็ยุ่งยากกว่าการซื้อยาในบ้านเรามาก “ถึงป่วยก็เที่ยวเมืองนอกได้” จะ เตรียมยา อย่างไร ไม่ให้โดนจับ!

อวัยวะบริเวณหน้าท้อง มีอะไรบ้าง? และ 5 วิธีดูแลระบบทางเดินอาหารให้สุขภาพดี แข็งแรง!

  ข้างขวา – ตับ (Liver) – ถุงน้ำดี (Gallbladder) – ลำไส้เล็ก (Duodenum) – ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น (Cecum) – ไส้ติ่ง (Appendix) ข้างซ้าย – กระเพาะอาหาร (Stomach) – ม้าม (Spleen) – ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดลงล่าง (Ascending Colon) บริเวณตรงกลาง – หลอดอาหาร (Esophagus) – ลำไส้ตรง (Rectum) – ช่องทวารหนัก (Anal canal) 5 วิธีดูแลระบบทางเดินอาหาร ให้แข็งแรง! – รับประทานอาหาร ให้ตรงต่อเวลาทุกวัน – รับประทานผัก-ผลไม้ หลากสี มีเส้นใยสูง – ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว – ลดละเลิก อวัยวะบริเวณหน้าท้อง มีอะไรบ้าง? และ 5 วิธีดูแลระบบทางเดินอาหารให้สุขภาพดี แข็งแรง!

ไอจนเสียงหาย! จะดูแลอย่างไรดีนะ?

  เคยเจอปัญหานี้มั้ย กำลังพูดอยู่ดี ๆ ไอ ไม่กี่ที แล้วเสียงก็หายไปดื้อ ๆ เลย จะใช้ยาแก้ไอมารักษา ก็อาจไม่ทันการ เพราะคุณอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เสียงต่อ อย่างเช่น กำลังนำเสนองานอยู่ ก็เป็นได้! แถมการ ไอจนเสียงหาย ยังอาจเป็นสัญญาณของอาการสายเสียงอักเสบอีกด้วย! เราจะมีวิธีการดูแลรักษาไม่ให้ไอจนเสียงหายได้อย่างไรบ้าง มาดูกันดีกว่า วิธีแก้อาการ ไอจนเสียงหาย 1.ดื่มน้ำเยอะ ๆ การดื่มน้ำเปล่าเป็นตัวช่วยที่ง่ายที่สุด และหาได้ในทุกสถานการณ์ คุณควรดื่มน้ำอย่างน้อยราว 3 ลิตร ต่อหนึ่งวัน และควรดื่มเฉพาะน้ำเปล่าธรรมดา ที่อุณหภูมิห้อง หรือถ้าอาการไอของคุณมีเสมหะปนออกมา ก็ควรดื่มน้ำอุ่นในอุณหภูมิที่พอดี ไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะน้ำเย็นจะยิ่งทำให้เกิดอาการระคายคอ แล้วคุณก็จะไอมากขึ้นไปอีก! 2.ดูแลสุขภาพช่องปาก เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะช่องปากและลำคอของคนเรานั้น มีแบคทีเรีย หรือไวรัสอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแบคทีเรียหรือไวรัสเหล่านี้ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้เกิดอาการไอได้ การรักษาความสะอาดของช่องปากอยู่เสมอ และกลั้วคอด้วยน้ำผสมเกลือวันละ 2-3 ครั้ง จะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ 3.งดอาหาร เราไม่ได้บอกให้คุณอดอาหาร แต่การงดอาหารในที่นี้ หมายถึงการงดอาหารที่สร้างความระคายเคืองให้กับคอของคุณ ได้แก่ ของมัน ไอจนเสียงหาย! จะดูแลอย่างไรดีนะ?

6 อาหารต้องห้าม! เมื่อป่วยเป็นกรดไหลย้อน

  1. อาหารที่มีแก๊สมาก เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ โซดา เครื่องดื่มชูกำลัง อาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด อาหารรสเผ็ดจัด หรือถั่ว เพราะอาหารกลุ่มนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำย่อยมากยิ่งขึ้น 2. อาหารไขมันสูง เช่น ของทอด ของมัน ช็อกโกแลต ฟาสต์ฟู้ด อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ นม เนย ชีส ไอศกรีม หรือไขมันจากเนื้อสัตว์ เป็นต้น เนื่องจากไขมันจากอาหารเหล่านี้จะไปรวมกับกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการจุก แน่น หรือร้อนที่กลางอกได้ 3. อาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม กิมจิ ซูชิบางชนิดที่มีผักดอง ล้วนมีส่วนเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดอาการจุดเสียดแน่นท้องได้ 4. ผักที่มีกรดแก๊สมาก เช่น หอมหัวใหญ่ดิบ ผักดิบทุกชนิด กระเทียม พริก พริกไทย หอมแดง เปปเปอร์มินต์ หรือสะระแหน่ เพราะผักเหล่านี้จะไปเพิ่มกรดแก๊สในกระเพาะอาหาร 6 อาหารต้องห้าม! เมื่อป่วยเป็นกรดไหลย้อน

askexpert

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้ประเภทนี้จะช่วยจดจำข้อมูลคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ท่านใช้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลการลงทะเบียนหรือ log in ข้อมูลการตั้งค่าหรือตัวเลือกที่ท่านเคยเลือกไว้บนเว็บไซต์ เช่น ภาษาที่แสดงบนเว็บไซต์ ที่อยู่สำหรับจัดส่งสินค้า เพื่อให้ท่านสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องให้ข้อมูลหรือตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่ท่านเข้าใช้เว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจใช้งานเว็บไซต์ได้ไม่สะดวกและไม่เต็มประสิทธิภาพ
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์เเละด้านฟังก์ชั่น

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อให้เราสามารถวัดผล ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาเนื้อหาสินค้า/บริการและเว็บไซต์ของเราเพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของท่าน ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ประเมิน และพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

  • คุกกี้โฆษณา

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและสร้างโปรไฟล์เกี่ยวกับตัวท่าน เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหา สินค้า/บริการ และ/หรือ โฆษณาที่เหมาะสมกับความสนใจของท่านได้ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจได้รับข้อมูลและโฆษณาทั่วไปที่ไม่ตรงกับความสนใจของท่าน
    Cookies Details

Save