5 ไวรัสก่อโรคหวัด ที่ต้องระวังในฤดูฝน ทำไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน!

ไวรัสก่อโรคหวัด

หน้าฝนอากาศชื้นเป็นฤดูสวรรค์ของเหล่าไวรัสทั้งหลาย เพราะสภาพอากาศเอื้อต่อการแพร่ระบาดได้ง่าย มาเช็กกันว่า 5 ไวรัสก่อโรคหวัด ที่ต้องระวังในหน้าฝนนี้ ทำไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน! มีไวรัสอะไรบ้าง?

ดีคอลเจน ชนิดเม็ด (Decolgen tablets) บรรเทาหวัด น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ และเป็นไข้

5 ไวรัสก่อโรคหวัด ทำไข้ขึ้นสูงในหน้าฝนนี้!

1. ไรโนไวรัส (Rhinovirus)

ไรโนไวรัส เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกับจมูก (Rhino แปลว่าจมูก) และเป็นไวรัสตัวการใหญ่ก่อให้เกิดโรคไข้หวัดได้มากที่สุดในบรรดาไวรัสทั้งหมด ไรโนไวรัสมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ (A, B และ C) รวมได้มากกว่า 100 ชนิด

ไวรัสชนิดนี้จะชอบความเย็น หรืออุณหภูมิต่ำ ประมาณ 33-35°C อาศัยอยู่ในเยื่อบุโพรงจมูก (nasal mucosa) แต่ถ้าเข้าหลอดลมแล้วอุณหภูมิสูงกว่าจะอยู่ไม่ได้ จึงมักไม่มีอาการมาก เป็นแค่หวัดธรรมดา (common cold)

ไรโนไวรัสนี้ นอกจากทำให้เกิดอาการหวัด เช่น ไข้ ไอ มีน้ำมูกแล้ว ยังทำให้เกิดการหลั่งสารเคมีในร่างกายที่คล้ายกับการติดเชื้อRSV ที่ก่อให้เกิดอาการหอบหืดในอนาคตได้

“ไรโนไวรัส” ก่อให้เกิดโรค : ไข้หวัดธรรมดา

ระยะฟักตัว : 1-4 วัน

ระยะติดต่อ หรือ ระยะแพร่เชื้อ : สามารถแพร่ได้ก่อนเกิดอาการและ 1-2 วันหลังเกิดอาการ

การติดต่อ : ไรโนไวรัสติดต่อได้ทางการหายใจ น้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่กระจายจากการไอ หรือหายใจรดกัน

อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไรโนไวรัส :

  • คัดจมูก
  • น้ำมูกไหลลักษณะใส
  • มีไข้
  • ไอ จาม เจ็บคอ
  • ปวดศีรษะเล็กน้อย
  • อาจมีอาการไข้ต่ำ ๆ

การรักษา และป้องกัน :

อ่านเพิ่มเติม -> โรคไข้หวัด สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และข้อควรรู้เรื่องหวัดกับ หมออ้อม

2. ไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus)

ไวรัสอินฟลูเอนซาอาศัยอยู่ในอยู่ในน้ำมูก และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อจากคนสู่คนทางการหายใจ โดยจะได้รับเชื้อที่ออกมาปนเปื้อนอยู่ในอากาศเมื่อผู้ป่วยไอ จาม หรือพูด ในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น โรงเรียน โรงงาน ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น การแพร่เชื้อจะเกิดไวมาก ไวรัสอินฟลูเอนซาเป็นไวรัสที่อันตรายกว่าไรโนไวรัส มักมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และมีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนได้มากกว่า

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของแอนติเจน (Antigen)* ที่เกิดได้บ่อย ทำให้มีเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซาสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นต่างสถานที่ และต่างระยะเวลา ดังนั้นจึงต้องมีระบบการเรียกชื่อเพื่อป้องกันความสับสน โดย คณะผู้เชี่ยวชาญได้กำหนดให้เรียกชื่อเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามหลักสากลทั่วโลกดังนี้

  • ชนิดไวรัส -> ชื่อเมืองหรือประเทศที่พบเชื้อ -> ลำดับสายพันธุ์ที่พบในปีนั้น -> ปี ค.ศ.ที่แยกเชื้อได้ -> ชนิดย่อยของ H และ N
  • ยกตัวอย่าง เช่น A/Sydney/5/97(H3N2) หรือ A/Victoria/3/75/(H3N2) หรีอ A/Bangkok/01/79(H3N2)
  • หรืออย่างไวรัสอินฟลูเอนซาที่ระบาดไปล่าสุดก็คือ Influenza A(H1N1) pdm09 ซึ่งไม่ได้บอกตัวเมืองที่ระบาด แต่ทิ้งท้ายด้วย pdm09 ซึ่งหมายถึง ระบาดไปทั่วโลกเมื่อปี 2009 นั่นเอง

*แอนติเจน (Antigen) คือ สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกาย แล้วร่างกายจะผลิตสารซึ่งเรียกว่าแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้าน หรือทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น ๆ ฉะนั้น แอนติเจนอาจเปรียบได้กับข้าศึกที่เข้ามาเพื่อมุ่งจะทำลายร่างกาย

“ไวรัสอินฟลูเอนซา” ก่อให้เกิดโรค : ไข้หวัดใหญ่

ระยะฟักตัว : ประมาณ 1-3 วัน

ระยะติดต่อ หรือ ระยะแพร่เชื้อ : ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ และจะแพร่เชื้อต่อไปอีก 3-5 วันหลังมีอาการในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กอาจแพร่เชื้อได้นานกว่า 7 วัน

อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา :

  • มีไข้สูงแบบเฉียบพลัน (โดยทั่วไปประมาณ 38-39 องศาเซลเซียส)
  • หนาวสั่น
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • อ่อนเพลีย
  • ไอแห้ง ๆ คอแห้ง เจ็บคอ
  • อาจมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จาม หรือมีเสมหะมาก และตาแดง ตาแฉะตามมา

โดยทั่วไปผู้ป่วยเด็ก มักมีไข้สูงกว่าผู้ใหญ่ อาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอุจาระร่วงได้ ผู้ป่วยส่วนมากมักมีอาการดีขึ้นภายใน 5 วันหลังป่วย และหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน

การรักษา และป้องกัน :

  • การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ การให้ ยาบรรเทาปวดลดไข้ ยาแก้ไอ ยาละลายเสมหะ เป็นต้น
  • การให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามการพิจารณาของแพทย์ เช่น ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และซานามิเวียร์ (Zanamivir)
  • ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และต้องให้ซ้ำทุกปีก่อนฤดูการระบาด
  • ดระวังการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน และ ฤดูหนาว

อ่านเพิ่มเติม -> ระบาดหนัก! ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (H1N1) ควรรับมือยังไงดี?

ไอเทมต้องมีต้อนรับฤดูฝน

3. ไวรัสเด็งกี (Dengue virus: DENV)

เป็นไวรัสที่พบการระบาดช่วงฤดูฝน ในประเทศเขตร้อน และเขตร้อนชื้น เช่น ประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) เป็นพาหะนำโรคจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ผู้ที่ถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเด็งกีกัดอาจเกิดการติดเชื้อและอาจถึงขั้นป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก

ไวรัสเด็งกี มี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสเด็งกีสายพันธุ์ Denv – 1, Denv – 2, Denv – 3, และ Denv – 4 โดยผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธ์ุนั้นไปตลอดชีวิต และจะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นในระยะสั้น ประมาณ 3-12 เดือน การติดเชื้อไวรัสเด็งกีครั้งแรกมักมีอาการไม่รุนแรง แต่การติดเชื้อซ้ำในครั้งหลังนั้นผู้ติดเชื้อมีโอกาสที่จะป่วยเป็นไข้เลือดออกได้

สำหรับเชื้อเด็งกีนี้จะอยู่ในตัวยุงนั้นตลอดชีวิตของยุง คือ ประมาณ 45 วัน

“ไวรัสเด็งกี” ก่อให้เกิดโรค : ไข้เลือดออก

ระยะฟักตัวและแพร่เชื้อจากยุงสู่คน : ใช้ระยะเวลาฟักตัว 8-12 วัน ถึงสามารถแพร่เชื้อไวรัสเด็งกีไปสู่คนได้ ส่วนระยะฟักตัวในคนใช้เวลาประมาณ 3-14 วัน (เฉลี่ย 4-7 วัน) ถึงจะแสดงอาการของโรค

อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเด็งกี (โรคไข้เลือดออก) :

  • ไข้สูงเฉียบพลัน (38.5-40 องศาเซลเซียส) ประมาณ 2-7 วัน
  • มีอาการเลือดออก เส้นเลือดเปราะ แตกง่าย มีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ออกตามร่างกาย
  • มีเลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน
  • หน้าแดง ปวดกระบอกตา
  • อาจมีอาเจียน และอุจจาระสีดำ
  • ถ้ามีอาการรุนแรงเข้าสู่ภาวะช็อก ความรู้สติเปลี่ยนไป รักษาไม่ทันจะเสียชีวิตภายใน 12-24 ชั่วโมง

การรักษา และป้องกัน :

  • ไม่มีการรักษาที่เฉพาะและไม่มีวัคซีนป้องกัน ให้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่นมีไข้ให้ยาลดไข้
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้มาก ๆ
  • ควรพบแพทย์หากพบว่ามีอาการไข้สูงนานหลายวัน และมีเลือดออกเป็นจุด ๆ ตามผิวหนัง
  • ป้องกันตนเองไม่ให้โดนยุงกัด ด้วยการนอนในมุ้ง ทายากันยุง เป็นต้น และทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงบริเวณบ้าน
4. ไวรัสตับอักเสบ

ไวรัสตับอักเสบ จัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อยในหน้าฝน มีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่ A B C D และ E แต่ชนิดที่พบได้บ่อยในไทย คือ ไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี ไวรัสตับอักเสบจะมีลักษณะการติดต่อที่แตกต่างกันไป เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ และอี มักมีการติดต่อหรือแพร่เชื้อผ่านทางการรับประทานอาหาร ส่วนไวรัสตับอักเสบบี และซี สามารถติดต่อหลักทางเลือด เพศสัมพันธ์ การสักตามร่างกาย เป็นต้น

ไวรัสตับอักเสบเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยวันที่ 28 กรกฏาคมของทุกปีเป็น “วันตับอักเสบโลก” เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงภัยใกล้ตัวของไวรัสตับอักเสบ ที่นอกจากจะทำให้เกิดตับอักเสบแล้วบางชนิดยังนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับได้

อาการของไวรัสตับอักเสบ :

  • มีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ คล้ายอาการหวัดทั่วไป
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เบื่ออาหาร

การตรวจวินิจฉัยตับอักเสบ :

  • การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาค่าการทำงานของตับ
  • การตรวจตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (Fibroscan) เป็นการตรวจไขมันในตับและการตรวจพังผืดในตับ

การรักษา และป้องกัน :

  • ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง
  • ใช้ยาต้านเชื้อไวรัสตามคำแนะนำของแพทย์
  • ฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด ช่วยป้องกันได้
  • ออกกำลังกาย นอนพักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ถูกสุขอนามัย
  • เลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน
5. ไวรัส RSV

RSV คือไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม มีชื่อเต็มว่า Respiratory Syncytial Virus มีสองสายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง พบมากในเด็กเล็ก และในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี (ในผู้ใหญ่มักไม่ติดเชื้อนี้ เพราะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอ) ในประเทศไทยอาจพบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝน หรือช่วงปลายฝนต้นหนาว และถ้าเด็กมีอาการรุนแรงก็อาจทำให้เสียชีวิตได้

สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย แนะนำว่าหากเป็นแค่อาการหวัดจากเชื้อ RSV ให้รักษาตามอาการที่บ้านได้ ไม่มีความจำเป็นต้องนอนในโรงพยาบาล การนอนในโรงพยาบาลที่เกินความจำเป็นนอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังอาจก่อผลเสีย เช่น เกิดการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อนจากโรงพยาบาล และการแพร่เชื้อ RSV ให้ผู้อื่นในโรงพยาบาล

ระยะฟักตัว : แสดงอาการได้เร็วที่สุดหลังติดเชื้อ 2 วัน ช้าที่สุดประมาณ 8 วัน โดยส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 วัน

อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส RSV :

  • ช่วงแรกมีอาการคล้ายไข้ธรรมดา เช่น มีไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล
  • ถ้าโรคลุกลามไปทางเดินหายใจส่วนล่าง ทำให้เกิดหลอดลมใหญ่อักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบและปอดอักเสบ ร่วมกับมีไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด หรือ เสียงครืดคราดในลำคอ

การรักษา และป้องกัน :

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV มีแค่รักษาตามอาการ เช่น

  • การให้ยาลดไข้
  • ยาแก้ไอละลายเสมหะ
  • ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลม หรือน้ำเกลือผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอดและดูดเสมหะออก

พาราเซตามอล+คลอร์เฟนิรามีน

อ้างอิง : 1. รพ.กรุงเทพ 1/2 2. กรมควบคุมโรค 1 /2 3. sciencedirect 4. รพ. นครธน 5. สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close