gedgoodlife

อาการปวดท้องข้างขวา บอกโรคอะไรเราได้บ้าง?

  อาการปวดท้อง เป็นอาการที่ถูกถามมากที่สุดอาการหนึ่งใน บอร์ด ASK EXPERT ถือเป็นโรคยอดฮิตของทุกเพศ ทุกวัย ก็ว่าได้ เพราะช่องท้องประกอบไปด้วยอวัยวะสำคัญต่าง ๆ จำนวนมาก วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่อง อาการปวดท้องข้างขวา ว่าจะสื่อถึงโรคอะไรได้บ้าง แล้วมีวิธีดูแลไม่ให้ปวดได้อย่างไร มาดูคำตอบกันเลย! อาการปวดท้องข้างขวา สื่อถึงโรคอะไรได้บ้าง? ปวดท้องข้างขวา เป็นอาการปวดท้องส่วนของซีกขวาของร่างกาย รวมถึงส่วนบั้นเอว และใต้ซี่โครงขวา ซึ่งแต่ละบริเวณมีอวัยวะที่แตกต่างกันไป จึงทำให้สาเหตุของอาการปวดท้องแตกต่างกันไปด้วย โดยอวัยวะภายในบริเวณท้องด้านขวา สามารถแบ่งออกได้เป็น ขวาบน และ ขวาล่าง ดังนี้ ขวาบน – เป็นที่อยู่ของ ตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี ไตข้างขวา ขวาล่าง – เป็นที่อยู่ของ ไส้ติ่ง ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็กบางส่วน กระเปาะลำไส้ใหญ่ และกรวยไตข้างขวา อาการปวดท้องด้านขวาบน (หรือใต้ซี่โครงด้านขวา – Right hypochondriac region) เริ่มมีความเสี่ยงเป็น โรคนิ่วในถุงน้ำดี, โรคตับ, อาการปวดท้องข้างขวา บอกโรคอะไรเราได้บ้าง?

เภสัชกรแนะนำ “วิธีเก็บยา อย่างถูกวิธี” พร้อมไขความเชื่อเรื่อง “เก็บยาในตู้เย็น” ดีจริงหรือ?

  การเก็บยาอย่างถูกวิธี เป็นเรื่องสำคัญที่หลายคนอาจยังละเลย ไม่ได้ใส่ใจนัก จนอาจทำให้ยาเสื่อมสภาพ หรือหมดอายุ เมื่อกินเข้าไปก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จากยารักษาโรค ก็อาจเป็นสารพิษทำร้ายชีวิตเราได้! ตามมาดูกันเลยว่า วิธีเก็บยา อย่างถูกวิธี ควรเก็บอย่างไร… พร้อมไขความเชื่อเรื่อง “เก็บยาในตู้เย็น” ดีจริงหรือ? โดยคำแนะนำจากเภสัชกร อ่านจบแล้วก็อย่าลืมทำตามกันด้วยนะ จะได้ใช้ยารักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย ไร้กังวล… วิธีเก็บยา เก็บอย่างไรให้ถูกต้อง? 1. เก็บให้พ้นแสงแดด ไม่เก็บไว้ในรถ ภญ.วนิชา ใจสำราญ แนะอย่าเก็บยาไว้ในที่ร้อนหรือโดนแสงแดด ทำยาเสื่อมคุณภาพเร็ว ทำให้ไม่ได้ผลในการรักษา และอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ดังนั้นข้อควรระวัง และไม่ควรกระทำเมื่อรับยาจากโรงพยาบาล ได้แก่ ไม่เก็บ หรือวางยาไว้ในรถ เพราะอุณหภูมิในรถสูงกว่าอุณหภูมิห้องปกติ (15-30 องศาเซลเซียส) อาจสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ทำให้ยาเสื่อมสภาพคุณสมบัติในการรักษาลดลงหรือเสียไป ยาบางชนิดจะหลอมละลายเมื่อถูกความร้อน เช่น ยาเหน็บทวารหนัก เป็นต้น ตัวอย่างยาที่อ่อนไหวต่อแสงแดด ได้แก่ วิตามินบี 6, วิตามินเอ, ยาพวกฮอร์โมน, ยาคุมกำเนิด, ยาน้ำเชื่อมของเด็กหลายชนิด, ยาปฏิชีวนะ เภสัชกรแนะนำ “วิธีเก็บยา อย่างถูกวิธี” พร้อมไขความเชื่อเรื่อง “เก็บยาในตู้เย็น” ดีจริงหรือ?

วิธีลดหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล แก้น้ำมูกอุดตัน ทำง่าย ได้ผลจริง!

  ช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแบบนี้ อาจทำให้เป็นหวัด คัดจมูก ได้ง่าย ๆ สำหรับใครที่เป็นอยู่อยากหายไวไว ต้องตามมาดู วิธีแก้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล อย่างเห็นผลกันดีกว่า! อาการคัดจมูก (Stuffy nose) น้ำมูกไหล (Runny nose) มักเกิดขึ้นจากโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ภูมิแพ้ หรือในบางกรณีอาจเกิดขึ้นจากโรคปอดด้วย อาการคัดจมูกเป็นสาเหตุทำให้รูจมูกเกิดการอักเสบ หลอดลมตีบ หรือมีน้ำมูกแห้ง ๆ กีดขวางทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก และนอนหลับไม่สนิท ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้ ทั้งการเปลี่ยนพฤติกรรม รักษาด้วยวิธีธรรมชาติ และการทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือสมุนไพรเพื่อช่วยลดหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล อย่างมีประสิทธิภาพ – โรคไข้หวัด โรคยอดฮิตตลอดปี! เป็นกี่วันหาย กินยาอะไรดี? สาเหตุ อาการ วิธีรักษา – โรคไข้หวัด VS โรคภูมิแพ้อากาศ ต่างกันอย่างไร? 7 วิธีลดหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล จากการปรับพฤติกรรมตนเอง 1. วิธีลดหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล แก้น้ำมูกอุดตัน ทำง่าย ได้ผลจริง!

ฝี คืออะไร ใช่สิวหรือไม่ บีบเองได้ไหม? มาดูคำตอบ พร้อมสาเหตุ อาการ วิธีรักษา

  ฝี (abscess) คือ ตุ่มหนองอักเสบ ที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง โดยหนองจะมีกลิ่นเหม็น รู้สึกเจ็บปวดเมื่อสัมผัสโดน และสามารถขยายใหญ่ขึ้นได้เรื่อย ๆ ตั้งแต่ 1 – 10 เซนติเมตร เลยทีเดียว โดยภายในฝี จะประกอบไปด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาว เนื้อเยื่อที่ตายแล้ว และเชื้อโรค ซึ่งมักเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย ฝีที่เกิดขึ้นตามร่างกายนั้น โดยทั่วไปแล้วไม่ได้อันตรายนัก สามารถหายได้เองภายใน 2 – 3 สัปดาห์สามารถรักษาได้ด้วยการทาครีม หรือยาที่หาซื้อได้ทั่วไป โดยตัวยาจะไปเร่งระงับการเจริญเติบโตของตุ่มฝี แต่ควรทายาตั้งแต่เริ่มเป็นฝี เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน จะทำให้รักษายากยิ่งขึ้น สาเหตุที่ทำให้เกิดฝี คือ เชื้อแบคทีเรีย สแตฟิโลค็อคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) และ สเตรปโตค็อคคัส พัยโอจีเนส (Streptococcus Pyogenes) หากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่ผิวหนังผ่านทางรูขุมขน หรือทางบาดแผลบนผิวหนัง ก็สามารถทำให้ผิวหนังบริเวณนั้น เกิดการอักเสบของรูขุมขน และเกิดเป็นตุ่มฝีได้ นอกจากนี้ ฝียังสามารถเกิดขึ้นได้ จากการติดเชื้อที่รูขุมขน คือขนที่ไม่สามารถทะลุออกมาทางผิวหนังได้ (หรือที่มักเรียกกันว่า ขนคุด) ฝี คืออะไร ใช่สิวหรือไม่ บีบเองได้ไหม? มาดูคำตอบ พร้อมสาเหตุ อาการ วิธีรักษา

คีโตเจนิค คืออะไร? เริ่มกินยังไง? ควรเลี่ยงอะไรบ้าง?

  เมื่อพูดถึงการกินเพื่อลดน้ำหนัก ให้หุ่นผอมเพรียว ใครหลาย ๆ คน คงนึกถึงการงดอาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน แล้วน้ำหนักจะลดลง แต่ทราบหรือไม่ว่า ในปัจจุบันมีวิธี “กินไขมันเพื่อลดไขมัน” ด้วยนะ! นั่นก็คือวิธีกินแบบ คีโตเจนิค (Ketogenic Diet) น่าแปลกใจใช่ไหมล่ะ? งั้นมาทำความรู้จักวิธีลดน้ำหนักแบบคีโต ด้วยการกินไขมันกันเลยดีกว่า… ลุย ลด โลด! การลดน้ำหนักแบบ คีโตเจนิค คืออะไร? คีโต หรือ คีโตเจนิค (Ketogenic Diet, Keto Diet) คือ แผนการลดน้ำหนัก หรือวิธีลดน้ำหนักด้วยการกินไขมันเยอะ ๆ แล้วกินคาร์โบไฮเดรต (หรือเรียกสั้น ๆ ว่า คาร์บ) ให้น้อยที่สุด โดยแบ่งเป็นสัดส่วนดังนี้ – ไขมันดี (high fat) 60-75% (125 กรัม/วัน ) – โปรตีน (low protein) 15-30% (1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 คีโตเจนิค คืออะไร? เริ่มกินยังไง? ควรเลี่ยงอะไรบ้าง?

12 วิธีแก้ไอให้หายไวไว ลองทำดู ได้ผลแน่นอน!

  อาการไอ เป็นอาการที่สร้างความอึดอัด ทรมานใจแก่ตัวผู้ป่วยมากทีเดียว ยิ่งไอช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด ยิ่งทำให้ผู้คนหวาดระแวงเรากว่าเดิม เพราะกลัวว่าเราจะติดโควิด19 แล้วแพร่เชื้อไปให้เขาหรือเปล่า! ฉะนั้นเมื่อมีอาการไอ ใคร ๆ ก็คง อยากหายไอไวไว กันใช่ไหมล่ะ? งั้นตามมาดู 12 วิธีแก้ไอให้หายไวไว สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว กันเลยดีกว่า! อาการไอ เกิดจากอะไร? อาการไอ (Cough) เกิดจากการที่มีสิ่งกระตุ้น หรือมีสารระคายเคืองบริเวณ ระบบทางเดินหายใจส่วนบน และล่าง เช่น เสมหะ ละอองฝุ่น และควัน เป็นต้น ทำให้มีการส่งสัญญาณไปที่บริเวณสมองส่วนควบคุมการไอ และส่งสัญญาณมาที่กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อกระบังลม ทำให้เกิดการตีบแคบของหลอดลม จึงเกิดอาการไอขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองของร่างกาย เพื่อกำจัดเชื้อโรค เสมหะ และสิ่งแปลกปลอมในระบบทางเดินหายใจ โดยอาการไอ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิภายนอก สารกระตุ้นที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ อากาศแห้ง หรือการหดเกร็งของหลอดลม เราสามารถแบ่งอาการไอได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ไอเฉียบพลัน และ 12 วิธีแก้ไอให้หายไวไว ลองทำดู ได้ผลแน่นอน!

“อาหารดี ความดันลด” ความดันโลหิตสูง ควรกิน-ควรเลี่ยง อะไรบ้าง?

  เพราะพฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้เดี๋ยวนี้มีคนที่ป่วยจาก โรคความดันโลหิตสูง กันเยอะ หากไม่ดูแลรักษาร่างกายอย่างถูกต้อง และยังกินอาหารที่เป็นโทษแล้วละก็… จากความดันสูง ก็จะเสี่ยงกลายเป็นโรคหลอดเลือดสมอง และหลอดเลือดหัวใจ ได้มากขึ้น งั้นมาดูกันดีกว่าว่า ความดันโลหิตสูง ควรกิน-ควรเลี่ยง อะไรบ้าง? ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ เรื่องความดันโลหิต หรือสุขภาพอื่น ๆ ได้ฟรี! ที่นี่ —> คลิก ความดันโลหิตสูง คืออะไร เกิดจากอะไร? ความดันโลหิตสูง (Hypertension / High Blood Pressure) หรือที่นิยมเรียกกันง่าย ๆ ว่า ความดันสูง คือ ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันในหลอดเลือดที่สูงขึ้นกว่าปกติตลอดเวลา องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2542 ว่า… “ผู้ใดก็ตามที่มีความดันโลหิตวัดได้มากกว่า 140 /90 มม.ปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง” ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต 1. อายุ ส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นกฎตายตัวว่าอายุมากขึ้นความดันโลหิตจะสูงขึ้นเสมอไป 2. “อาหารดี ความดันลด” ความดันโลหิตสูง ควรกิน-ควรเลี่ยง อะไรบ้าง?

ไขมันหน้าท้อง ควรลดอย่างไรให้ได้ผล? มีคลิปออกกำลังกายลดพุง แนะนำด้วยนะ

  ไขมันหน้าท้อง หรือพุงป่อง ๆ ย้อย ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจทุกครั้งที่ต้องใส่เสื้อรัดรูป หรือต้องการโชว์หุ่น และพุงยังเป็นส่วนที่ลดยากมากกว่าส่วนอื่น ๆ เพราะ ไขมันตรงส่วนนี้มีถึง 2 ชั้นด้วยกัน และยิ่งมีพุงมากเท่าไหร่ โอกาสเกิดโรคต่าง ๆ ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นมาดูแลสุขภาพด้วยการลดไขมันหน้าท้อง อย่างได้ผลกันดีกว่า เมื่ออ่านจบแล้วก็อย่าลืมทำตามกันด้วยนะ! ไขมันหน้าท้อง เกิดจากอะไร? ไขมันหน้าท้อง, ไขมันรอบเอว หรือพุง (Abdominal fat, Belly fat) เกิดจากร่างกายรับสารอาหารประเภทไขมันเข้าสู่ร่างกายจำนวนมาก และร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมดในแต่ละวัน จึงทำให้เกิดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องขึ้นมา ถ้าปล่อยไว้นาน ไขมันตรงนี้ก็จะยิ่งแข็งตัวมากขึ้นจะดันให้หน้าท้องของเราป่องออกมาที่เรียกกันว่า “พุง” ถ้าอยากรู้ว่าไขมันส่วนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ให้ลองอัลตร้าซาวน์ดู ก็จะพบว่าอวัยวะภายในของเรานั้น ถูกหุ้มห่อไปก้อนสีออกเหลือง ๆ ซึ่งนั่นก็คือ ไขมันในช่องท้อง นี่เอง ไขมันหน้าท้อง มีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้ 1. ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) – ไขมันที่อยู่ติดผิวหนัง และกล้ามเนื้อ เป็นชั้นที่เราสามารถจับ ไขมันหน้าท้อง ควรลดอย่างไรให้ได้ผล? มีคลิปออกกำลังกายลดพุง แนะนำด้วยนะ

โรคหลอดเลือดสมอง รู้ทัน ป้องกันอัมพาตได้! : สาเหตุ อาการ วิธีรักษา

  โรคหลอดเลือดสมอง หรือ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต (Stroke) เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่งของโรคทางระบบประสาท และเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญในอันดับต้น ๆ ของประเทศ เป็นโรคที่ต้องรีบรักษา เพราะหากรักษาช้าจะทำให้เซลล์สมองตาย เกิดความพิการ อัมพาตตามมาได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้โรคนี้เกิดขึ้นกับคุณ มาดู สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา ป้องกัน โรคนี้กันเลยดีกว่า! โรคหลอดเลือดสมอง คืออะไร และมีสาเหตุจากอะไร? โรคหลอดเลือดสมอง หนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คือ ภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้สมองขาดเลือด และออกซิเจน เกิดภาวะเนื้อสมองเสียหายจนเป็นเหตุให้แขน หรือใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งชา อ่อนแรง เคลื่อนไหวลำบาก หรือเคลื่อนไหวไม่ได้อย่างทันทีทันใด โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตัน (Ischemic Stroke) มีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดจากการสะสมของคราบไขมัน หินปูน ที่ผนังหลอดเลือดชั้นในจนหนา นูน แข็ง ขาดความยืดหยุ่น ทำให้หลอดเลือดค่อย ๆ ตีบแคบ พบได้ประมาณ 70–85% 2. โรคหลอดเลือดสมอง รู้ทัน ป้องกันอัมพาตได้! : สาเหตุ อาการ วิธีรักษา

5 เมนูอร่อยจาก “ตับ” เสริมธาตุเหล็กให้ลูก ป้องกันโลหิตจาง

  5 เมนูอร่อยจาก “ตับ” เสริมธาตุเหล็กให้ลูก ป้องกันโลหิตจาง หากเด็ก ๆ ขาดธาตุเหล็ก ได้รับธาตุเหล็กไม่พอ อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ดังนั้นคุณแม่หลายคนจึงชอบทำ เมนูจากตับ ให้ลูก ๆ เพราะมีธาตุเหล็กสูง ตับเสริมธาตุเหล็ก ป้องกันโลหิตจาง มีเมนูอะไรบ้าง… ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโลหิตจาง ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่สําคัญของเซลล์ต่าง ๆ ในรางกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้นเมื่อรางกายขาดธาตุเหล็ก จะทําให้เกิดภาวะซีด หรือ โรคโลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก นอกจากธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจางแล้ว หากขาดธาตุเหล็กยังส่งผลต่อการทำงานของ ร่างกาย ทั้งระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร และอวัยวะต่าง ๆ ด้วย เพราะธาตุเหล็กช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์สมองในส่วนที่เกี่ยวกับความเข้าใจ และความจำ (Cognitive development) 5 เมนูจากตับ แสนอร่อย เสริมธาตุเหล็กให้ลูก “ตับ” คือ หนึ่งในอาหารที่ขึ้นชื่อว่ามี “ธาตุเหล็ก” สูง เมนูจากตับ จึงเป็นเมนูที่คุณแม่มักทำให้ลูก ๆ กินตั้งแต่ 6 เดือนแรก 5 เมนูอร่อยจาก “ตับ” เสริมธาตุเหล็กให้ลูก ป้องกันโลหิตจาง

ยาขับเสมหะ VS ยาละลายเสมหะ เมื่อลูกมีอาการไอ เลือกกินยาแบบไหน?

  เห็นลูกไอบ่อยๆ เป็น ๆ หาย ๆ ไอเรื้อรัง อาจเกิดจากการมีเสมหะคั่งค้างในหลอดลม ผลเสียจากการมีเสมหะคั่งค้างมีมากกว่าที่คิด เพราะเสมหะเป็นแหล่งเพาะเชื้อ บางรายไอมากจนปวดท้อง ถ้าลูกมีอาการไอมีเสมหะจนต้องกินยา ยาขับเสมหะ กับ ยาละลายเสมหะ ต่างกันยังไง คุณแม่ควร เลือกยาแก้ไอแบบไหนให้ลูก ยาแก้ไอสำหรับอาการไอมีเสมหะ ยาแก้ไอสำหรับอาการไอแบบมีเสมหะ อาจแบ่งย่อยออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. ยาขับเสมหะ (Expectorants) ที่ออกฤทธิ์โดยทำให้ร่างกายสร้างสารน้ำออกมาหล่อเลี้ยงทางเดินหายใจมากขึ้น 2. ยาละลายเสมหะ (Mucolytics) ที่ออกฤทธิ์ต่อเสมหะโดยตรง และทำให้เสมหะข้นเหนียวน้อยลง ซึ่งยาทั้งสองจะช่วยให้เด็ก หรือ คนที่มีอาการไอขับเสมหะออกมาได้ง่ายขึ้น แต่คุณแม่มักสงสัยว่า แล้วยาสองอย่างต่างกันอย่างไร ยาแก้ไอขับเสมหะ และ ยาละลายเสมหะ ต่างกันอย่างไร? ยาแก้ไอขับเสมหะ หรือ ยาขับเสมหะ (Expectorants) การออกฤทธิ์ ยาขับเสมหะ คือ กระตุ้นต่อมสร้างน้ำ และของเหลว ที่มีอยู่ในระบบทางเดินหายใจ (ปกติ น้ำและของเหลวเหล่านี้ ทำหน้าที่หล่อลื่นทางเดินหายใจ ยาขับเสมหะ VS ยาละลายเสมหะ เมื่อลูกมีอาการไอ เลือกกินยาแบบไหน?

รวม “เคล็ดลับประหยัดค่าไฟ” ทำตามง่าย ได้ผลจริง!

  Saveสุขภาพ กักตัวทำงานอยู่บ้าน หลบร้อน หลบไวรัสโควิดสบาย แต่พอเจอบิลค่าไฟ ถึงกับสลบ!! ก็บางบ้านค่าไฟปกติเดือนละ 2,000 แต่มาเดือนนี้ค่าไฟพุ่งไปที่ 4,000 บาทจ้าาา!! แล้วทีนี้จะ saveค่าไฟ ยังไงดีล่ะ? ไม่ต้องกังวลใจไป… เพราะวันนี้ GedGoodLife มี “เคล็ดลับประหยัดค่าไฟ” มาฝากแล้ว มาทำตามกันได้เลย! เคล็ดลับประหยัดค่าไฟ จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง ควรปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่มีคนอยู่ในห้อง เลือกใช้หลอดไฟที่มีกำลังวัตต์เหมาะสมกับการใช้งาน สำหรับบริเวณที่ต้องการความสว่างมาก ภายในอาคารควรเลือกใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ ส่วนภายนอกอาคารควรเลือกใช้หลอดไอโซเดียม และหลอดไอปรอท ควรใช้ฝาครอบดวงโคมแบบใสหากไม่มีปัญหาเรื่องแสงจ้า และหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ พิจารณาใช้โคมไฟตั้งโต๊ะสำหรับงานที่ต้องการแสงสว่างจุดเดียว ควรถอดปลั๊กอุปกรณ์ให้แสงสว่างเมื่อไม่ใช้เป็นเวลานาน ควรเลือกใช้โคมไฟแบบสะท้อนแสงแทนแบบเดิมที่ใช้พลาสติกปิด หลอด LED ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ และให้แสงสว่างเท่าหลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์ และหลอดใส้ เตารีด เตารีดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทให้ความร้อน ซึ่งในการรีดแต่ละครั้งจะกินไฟมาก ดังนั้นจึงควรรู้จัดวิธีใช้อย่างประหยัด และปลอดภัย ก่อนอื่นควรตรวจสอบดูว่าเตารีดอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งานหรือไม่ เช่น สาย ตัวเครื่อง เป็นต้น ตั้งปุ่มปรับความร้อนให้เหมาะสมกับชนิดของผ้า อย่าพรมน้ำจนเปียกแฉะ ดึงเต้าเสียบออกก่อนจะรีดเสร็จประมาณ 2-3 นาที แล้วรีดต่อไปจนเสร็จ รวม “เคล็ดลับประหยัดค่าไฟ” ทำตามง่าย ได้ผลจริง!

แม่ให้นมลูก กินวิตามินได้ไหม? กินบำรุงหลังคลอดอย่างไรให้ปลอดภัยทั้งแม่ และลูก

  ระยะให้นมลูก แม่จำเป็นต้องได้รับสารอาหารต่าง ๆ ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อกระตุ้นน้ำนม สร้างน้ำนมสำหรับลูกที่เพิ่งคลอด และเสริมสร้างซ่อมแซมสุขภาพของแม่ ถ้าหากกินอาหารได้น้อย ไม่ครบโภชนาการ อาจทำให้น้ำนมมาน้อย ส่งผลกับลูก และยังส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย แผลหายช้าอีกด้วย ดังนั้น วิตามินเสริมหลังคลอด จำเป็นไหม ควรกินยังไงให้เพียงพอ ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ? แม่ให้นมลูก ควรกินอะไรบำรุงหลังคลอด 1. แก้อาการอ่อนเพลีย จากร่างกายสูญเสียน้ำ และเลือดหลังคลอด รวมไปถึงความเครียด เหนื่ยอล้าขณะคลอด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาหารบำรุงหลังคลอด : โปรตีน และธาตุเหล็ก เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม งา 2. น้ำนมน้อย เกิดจากร่างกายได้รับพลังงาน หรือ สารอาหารไม่ครบถ้วนเพียงพอ อาหารบำรุงหลังคลอด : อาหาร 5 หมู่ โปรตีน แคลเซียม เสริมด้วยน้ำเปล่าวันละอย่างน้อย 8-10 แก้ว ควรดื่มน้ำอุ่น แม่ให้นมลูก กินวิตามินได้ไหม? กินบำรุงหลังคลอดอย่างไรให้ปลอดภัยทั้งแม่ และลูก

รู้จัก โรคโลหิตจางในเด็ก สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน

  เห็นลูก ๆ ที่บ้านมีอาการตัวซีด ๆ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เรียนไม่ค่อยมีสมาธิ อาจมีสาเหตุมาจาก โรคโลหิตจางในเด็ก เพราะขาดธาตุเหล็ก ทำไมเด็ก ๆ ถึงเป็นโรคโลหิตจางกันเยอะ เกิดจากอะไร และจะป้องกันได้อย่างไร ตามมาดูคำตอบกัน รู้จักโรคโลหิตจาง โรคโลหิตจาง หรือ ภาวะซีด (anemia) คือ การที่มีปริมาณของเม็ดเลือดแดง (red cell mass) ลดลง หรือมีระดับค่าฮีโมโกลบิน (hemoglobin, Hb) ลดลง ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก เพราะธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง เมื่อขาดธาตุเหล็ก จึงทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง หรือ เลือดจาง หรือ ภาวะซีด   สาเหตุของโลหิตจาง 1. การสร้างเม็ดเลือดแดงน้อย เกิดจาก… – การขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และโฟลิก เป็นต้น – ไขกระดูกฝ่อ หรือมีเซลลมะเร็งกระจายในไขกระดูก รู้จัก โรคโลหิตจางในเด็ก สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน

10 อาหารเจ แคลน้อย ไม่อ้วน! พร้อม 5 สถานที่กินเจ อิ่มใจ ได้บุญ

  เทศกาลกินเจ ในปีนี้ จะตรงกับวันที่ 17 – 25 ตุลาคม 2563 รวมเป็นเวลา 9 วันด้วยกัน และในทุกปี เราก็มักจะตื่นเต้นกับการได้ทานเจ ได้งดเนื้อสัตว์ ถือศีล กินผัก ไปในตัว… แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารเจ จำนวนมากเป็นของทอด เต็มไปด้วยแป้ง น้ำมัน และน้ำตาล หากกินเข้าไปเยอะ ๆ อาจทำให้พุงล้ำ น้ำหนักพุ่ง ก็ได้นะ! ฉะนั้นจะกินเจทั้งที ก็ต้องรู้จักเลือกกันหน่อย… งั้นตามมาดู “15 อาหารเจ” แคลน้อย สุขภาพดี ไม่ต้องกลัวอ้วน! กันดีกว่า ว่าจะมีอะไรกันบ้าง ใครเข้าโหมดลดน้ำหนักอยู่ ถูกใจแน่นอน หลักการกินเจ กินอย่างไรให้สุขภาพดี นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลกินเจ แนะนำให้รับประทานพืชสมุนไพร 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 พืชสมุนไพรที่กินง่าย ช่วยให้อยู่ท้อง ได้แก่ กล้วยน้ำว้าสุก 10 อาหารเจ แคลน้อย ไม่อ้วน! พร้อม 5 สถานที่กินเจ อิ่มใจ ได้บุญ

รวมข้อสงสัยของ Nutroplex วิตามินเสริมสำหรับเด็ก กินแล้วดียังไง?

  คุณพ่อคุณแม่หลายคน ได้ยินชื่อ Nutroplex วิตามินเสริมสำหรับเด็ก ว่าดี มีประโยชน์กับลูกน้อย แต่ยังกังวล และมีข้อสงสัยว่าลูกเราควรกินไหม นูโทรเพล็กซ์กินแล้วดียังไง ต้องกินนานแค่ไหน วันนี้เรามาไขข้อข้องใจกัน นูโทรเพล็กซ์ โอลิโก พลัส (Nutroplex Oligo Plus) คือ วิตามินรวมสำหรับเด็ก ที่มีใยอาหารธรรมชาติ และธาตุเหล็กสูง รสส้ม หวานอร่อย กินง่าย ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย เสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิตามินรวม นูโทรเพล็กซ์ (Nutroplex Oligo Plus) กินแล้วดียังไง? นูโทรเพล็กซ์ โอลิโก พลัส มีวิตามินรวม และสารอาหารที่สูงถึง 27 ชนิด มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการเจริญเติบโตสมวัย อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ไลซีน โอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) ไลซีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต นูโทรเพล็กซ์มีไลซีน ช่วยสร้างโปรตีนที่สำคัญต่อร่างกาย เพื่อการเจริญเติบโต การซ่อมแซมและสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันต่างๆ โอลิโกฟรุคโตส ดีกับระบบขับถ่าย ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดดี รวมข้อสงสัยของ Nutroplex วิตามินเสริมสำหรับเด็ก กินแล้วดียังไง?

askexpert

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้ประเภทนี้จะช่วยจดจำข้อมูลคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ท่านใช้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลการลงทะเบียนหรือ log in ข้อมูลการตั้งค่าหรือตัวเลือกที่ท่านเคยเลือกไว้บนเว็บไซต์ เช่น ภาษาที่แสดงบนเว็บไซต์ ที่อยู่สำหรับจัดส่งสินค้า เพื่อให้ท่านสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องให้ข้อมูลหรือตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่ท่านเข้าใช้เว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจใช้งานเว็บไซต์ได้ไม่สะดวกและไม่เต็มประสิทธิภาพ
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์เเละด้านฟังก์ชั่น

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อให้เราสามารถวัดผล ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาเนื้อหาสินค้า/บริการและเว็บไซต์ของเราเพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของท่าน ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ประเมิน และพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

  • คุกกี้โฆษณา

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและสร้างโปรไฟล์เกี่ยวกับตัวท่าน เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหา สินค้า/บริการ และ/หรือ โฆษณาที่เหมาะสมกับความสนใจของท่านได้ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจได้รับข้อมูลและโฆษณาทั่วไปที่ไม่ตรงกับความสนใจของท่าน
    Cookies Details

Save