วัคซีน ที่ควรฉีดในเด็ก-ผู้ใหญ่ มีอะไรบ้าง?

วัคซีน

เมื่อพูดถึง วัคซีน หลายคนอาจจะเข้าใจว่า มีแต่เด็กเท่านั้นที่ต้องฉีด แต่อันที่จริงแล้ว วัคซีนคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนทุกช่วงวัย เพราะสามารถช่วยสร้างเกราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ให้กับร่างกาย ทำให้มีสุขภาพที่ดี และยังช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อีกด้วย

โดยวัคซีนแต่ละชนิด ก็จะมีเงื่อนไขในการฉีดที่ต่างกันออกไป รวมถึงคนในแต่ละช่วงวัย ก็มีความต้องการวัคซีนที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย ลองมาดูกันสิว่า วัคซีนที่จำเป็นสำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ ในแต่ละช่วงอายุนั้น มีอะไรบ้าง ?

ดีคอลเจน

วัคซีน พื้นฐานสำหรับเด็กแรกเกิด – อายุ 18 ปี

วัคซีนขั้นพื้นฐาน คือ วัคซีนจำเป็นที่เด็กทุกคนควรจะได้รับ ตามที่นโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้กำหนดไว้ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กไทยในแต่ละช่วงวัย ซึ่งมีดังนี้

  • วัคซีนวัณโรค (BCG) ฉีดเมื่อแรกคลอด ส่วนมากฉีดที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้านบริเวณที่ไหล่ซ้าย หรือสะโพก
  • วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) ควรฉีดตั้งแต่แรกเกิด และ 1 เดือน 6 เดือน ตามลำดับ
  • วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DPT) ควรฉีดตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน, 4-6 ปี และ 11-12 ปี (เฉพาะบาดทะยักและคอตีบ)
  • วัคซีนโปลิโอ มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดกิน และชนิดฉีดควรให้ตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4, 6 เดือน, 1 ปี 6 เดือน และ 2 ปี ครึ่งตามลำดับ
  • วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR) หรือ วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE) ควรฉีดตามช่วงอายุคือ 1ปี และ 2 ปี 6 เดือน
  • วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดในเด็กปีละครั้ง ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 18 ปี สำหรับเด็กในปีแรกฉีด 2 เข็ม และห่างกัน 4 สัปดาห์
  • วัคซีนเอชพีวี (HPV) เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี อันเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งสามารถช่วยป้องกันได้ถึง 70-90% แนะนำให้ฉีดในเด็กผู้หญิงที่มีอายุ 9 ปีขึ้นไป

วัคซีน

วัคซีนเสริม สำหรับเด็กแรกเกิด – อายุ 18 ปี

เพื่อให้ลูกของคุณมีสุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น วัคซีนเสริม หรือวัคซีนทางเลือกจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรค ซึ่งมักจะเป็นวัคซีนชนิดรวมฉีดเข็มเดียว แทนการแยกฉีดหลายเข็ม วัคซีนเสริมที่แนะนำดังนี้

  • วัคซีนโรต้า มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ Monovalent (Human) ให้กิน 2 ครั้ง เมื่ออายุประมาณ 2 และ 4 เดือน และชนิด pentavalent (Bovine- Human) ให้กิน 3 ครั้ง เมื่ออายุประมาณ 2, 4, 6 เดือน
  • วัคซีนนิวโมคอคคัส ป้องกันปอดอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ
  • PCV ฉีดช่วงอายุ 2, 4 และ 6 เดือน และกระตุ้น 12-15 เดือน
  • PS23 ฉีดช่วงอายุ 2 ปี ขึ้นไป
  • วัคซีนฮิบ (Haemophilusinfluenzae type b) ควรฉีดตามช่วงอายุตั้งแต่ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน
  • วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ควรฉีดในเด็กตามช่วงอายุ ตั้งแต่ 12-18 เดือน และ 4-6 ปี ตามลำดับ รวมทั้งหมด 2 เข็ม
  • วัคซีนตับอักเสบ เอ ฉีดช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป และเข็มที่ 2 ห่างกัน 6-12 เดือน
  • วัคซีนไข้เลือดออก ฉีดช่วงอายุ 9 ปีขึ้นไป ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0 , 6, 12 ในผู้ที่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน

วัคซีนพื้นฐานสำหรับผู้ใหญ่ ที่มีอายุ 19 – 26 ปี

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีด 1 เข็ม ทุกปี
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 1 และ 6 (ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)
  • วัคซีนบาดทะยัก – คอตีบ ฉีดกระตุ้น 1 เข็มด้วย Td ทุก 10 ปี (เช่น อายุ 20, 30, 40… ปี)
  • วัคซีนอีสุกอีใส ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4 สัปดาห์ (ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)
  • วัคซีนหัด – คางทูม – หัดเยอรมัน ฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์
  • วัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก [แนะนำสำหรับผู้หญิง] ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 1 และ 6 หรือ 0, 2 และ 6
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 – 12 เดือน

วัคซีน

วัคซีนเสริมสำหรับผู้ใหญ่ ที่มีอายุ 19 – 26 ปี

  • วัคซีนบาดทะยัก – คอตีบ – ไอกรน ชนิดไร้เซลล์ ให้วัคซีน Tdap แทน Td 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคเพียงพอ เพื่อลดอุบัติการณ์ของโรคไอกรนในผู้ใหญ่ และส่งผลในการลดการแพร่เชื้อจากผู้ใหญ่สู่เด็กเล็กด้วย
  • วัคซีน HPV ป้องกันหูดหงอนไก่ มะเร็งองคชาต และมะเร็งทวารหนัก (สำหรับผู้ชาย) ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 1 และ 6 หรือ 0, 2 และ 6
  • วัคซีนไข้เลือดออก (สำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นไข้เลือดออกมาก่อน) ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 6 และ 12

วัคซีนพื้นฐานสำหรับผู้ใหญ่ ที่มีอายุ 27 – 64 ปี

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีด 1 เข็ม ทุกปี
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 1 และ 6 (ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)
  • วัคซีนบาดทะยัก – คอตีบ ฉีดกระตุ้น 1 เข็มด้วย Td ทุก 10 ปี (เช่น อายุ 20, 30, 40…ปี)
  • วัคซีนอีสุกอีใส ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4 สัปดาห์ (ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)
  • วัคซีนหัด – คางทูม – หัดเยอรมัน [อายุ ≤ 40 ปี] 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์

วัคซีนเสริมสำหรับผู้ใหญ่ ที่มีอายุ 27 – 64 ปี

  • วัคซีนบาดทะยัก – คอตีบ – ไอกรน ชนิดไร้เซลล์ ให้วัคซีน Tdap แทน Td 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคเพียงพอ เพื่อลดอุบัติการณ์ของโรคไอกรนในผู้ใหญ่ และส่งผลในการลดการแพร่เชื้อจากผู้ใหญ่สู่เด็กเล็ก ซึ่งเด็กเล็กมีอัตราป่วยตายสูงเมื่อป่วยเป็นโรค
  • วัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก [อาจพิจารณาฉีดแก่ผู้หญิงที่อายุมากว่า 26 ปี เพราะพบว่ายังได้ประโยชน์อยู่] ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 1 และ 6 หรือ 0, 2 และ 6
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 – 12 เดือน (ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)
  • วัคซีนไข้เลือดออก [อายุ ≤ 45 ปี] ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 6 และ 12
  • วัคซีนงูสวัด [อายุ ≥ 60 ปี] ฉีด 1 เข็ม

 วัคซีนพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีด 1 เข็ม ทุกปี
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ 0, 1 และ 6 (ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)
  • วัคซีนบาดทะยัก – คอตีบ ฉีดกระตุ้น 1 เข็มด้วย Td ทุก 10 ปี (เช่น อายุ 20, 30, 40…ปี)
  • วัคซีนอีสุกอีใส ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4 สัปดาห์ (ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)
  • วัคซีน IPD นิวโมคอคคัส ชนิดโพลีแซคคาไรด์ (PPV – 23 vaccine) ฉีด 1 เข็ม
  • วัคซีน IPD นิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต (PCV – 13 vaccine) ฉีด 1 เข็ม

วัคซีนเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป

  • วัคซีนบาดทะยัก – คอตีบ – ไอกรน ชนิดไร้เซลล์ ให้วัคซีน Tdap แทน Td 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคเพียงพอ เพื่อลดอุบัติการณ์ของโรคไอกรนในผู้ใหญ่ และส่งผลในการลดการแพร่เชื้อจากผู้ใหญ่สู่เด็กเล็ก ซึ่งเด็กเล็กมีอัตราป่วยตายสูงเมื่อป่วยเป็นโรค
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 – 12 เดือน (ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)
  • วัคซีนงูสวัด ฉีด 1 เข็ม

ข้อควรปฏิบัติตัวในการรับวัคซีน

  • สำหรับเด็กเล็ก ควรนำสมุดบันทึกวัคซีนไปด้วยทุกครั้ง
  • ไม่ควรรับวัคซีนขณะที่ มีไข้ สูง หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน แต่หาก เป็นหวัด หรือ ท้องเสีย โดยไม่มีไข้ ก็สามารถรับ วัคซีนได้
  • หลังรับวัคซีน ควรอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที เพื่อดูปฏิกิริยาการแพ้ยา
  • หากเคยฉีดวัคซีนแล้วมีอาการแพ้ยา แพ้อาหาร เช่น มีอาการแพ้ไข่แบบรุนแรง ควรแจ้งแพทย์หรือพยาบาล

อาการข้างเคียงที่อาจะเกิดขึ้นหลังได้รับวัคซีน

วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันจะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังคงพบอาการข้างเคียงได้บ้างแต่ไม่รุนแรง และจะหายไปในระยะเวลา 2 – 3 วัน โดยมีอาการแตกต่างกันไปตามประเภทของวัคซีน แบ่งอกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

  1. อาการเฉพาะที่ เช่น อาการปวด บวมแดง เจ็บ คันบริเวณที่ฉีด
  2. อาการทั่วไป เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง

การป้องกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ คำโบราณที่ใช้ได้ดีเสมอกับเรื่องสุขภาพของเรา ฉะนั้น อย่าได้ประมาท ใครที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนตามบทความข้างต้น แนะนำให้เข้ารับการตรวจสุขภาพ และให้คุณหมอแนะนำเรื่องวัคซีนที่เหมาะสมกับเราได้ เพื่อสุขภาพดีดีของเรานั่นเอง

อ้างอิง :
1. bangkokhospitalhuahin.com
2. http://data.nvi.go.th
3. www.paolohospital.com

ถามหมอออนไลน์ ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้  ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่

ดีคอลเจน

ติดตามGedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่…

Facebook : GEDGoodLife
Nutroplex : nutroplexclub
Twitter      : @gedgoodlife
Line          : @gedgoodlife
Youtube   : GEDGoodLife ชีวิตดีดี

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close