คนอ้วนท้อง แม่และทารกเสี่ยงอันตรายอะไรบ้าง? และข้อควรปฏิบัติขณะตั้งครรภ์

คนอ้วนท้อง

คุณแม่ตั้งครรภ์รู้หรือไม่ว่า การที่มีน้ำหนักตัวมาก หรืออ้วนมากไปขณะตั้งครรภ์ (overweight during pregnancy) ไม่ได้ช่วยให้ทารกแข็งแรงขึ้นแต่อย่างใด และยังเป็นปัจจัยชักนำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อย่างรุนแรงถึงขั้นแท้งบุตรได้เลยทีเดียว! ฉะนั้น มาดูกันว่า คนอ้วนท้อง จะเสี่ยงเป็นโรค หรือภาวะแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง? แค่ไหนเรียกว่าน้ำหนักเกิน? พร้อมข้อควรปฏิบัติขณะตั้งครรภ์

สาเหตุ และปัจจัยของการเกิดภาวะน้ำหนักเกินขณะตั้งครรภ์

ภาวะน้ำหนักเกินขณะตั้งครรภ์ หมายถึง การมีน้ำหนักมากเกินไปขณะตั้งครรภ์ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ตั้งครรภ์ และสุขภาพของเด็กที่กำลังอยู่ในท้อง ภาวะน้ำหนักเกินขณะตั้งครรภ์ (pregnancy-related obesity) สามารถเกิดจากหลายปัจจัย ดังนี้

  1. ปริมาณอาหารที่รับเข้ามามากกว่าปริมาณการเผาผลาญ และการเคลื่อนไหว
  2. พฤติกรรมการทานอาหารที่ไม่สมดุล เช่น การทานอาหารหวาน หรือการทานอาหารหมัก หรือการทานอาหารระหว่างวันมากเกินไป
  3. การพักผ่อนน้อย และการเคลื่อนไหวน้อย ซึ่งอาจจะทำให้มีการเผาผลาญแคลอรี่น้อยลง
  4. การเป็นโรคแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อการเผาผลาญแคลอรี่ เช่น โรคเบาหวาน หรือภาวะซึมเศร้า เป็นต้น

แม่ตั้งครรภ์จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำหนักเกิน?

การตรวจระดับน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ควรทำทุกสัปดาห์ หรือทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล เพื่อประเมินการเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ และดูแลให้ได้ระดับน้ำหนักเหมาะสม ในการตรวจระดับน้ำหนัก จะมีการวัดน้ำหนัก ส่วนสูง และวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index) และจะมีแพทย์ที่ปรึกษาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ และการควบคุมน้ำหนักในช่วงตั้งครรภ์

โดยทั่วไปแล้ว น้ำหนักคนท้องจะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 10-16 กิโลกรัม โดยจะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรก 1-2 กิโลกรัม และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ไปจนกระทั่งคลอด แต่ในคุณแม่น้ำหนักตัวมาก ไม่ควรจะน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกิน 10 กก.

คนอ้วนท้อง แม่และลูกเสี่ยงอะไรบ้าง?

1. ภาวะแท้งบุตร (Miscarriage)

เป็นผลจากการสร้างสาร PAI-1 เพิ่มขึ้นกว่าปกติ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่กระตุ้นทำให้เกิดภาวะแท้ง จากการศึกษาพบว่า ภาวะอ้วนขณะตั้งครรภ์มีแนวโน้มเพิ่มอัตราการแท้งบุตรมากกว่าสตรีตั้งครรภ์น้ำหนักปกติถึง 1.31 เท่า และเกิดภาวะแท้งซ้ำซากถึง 3.5 เท่า นอกจากนี้ภาวะอ้วนยังเพิ่มการเกิดความพิการแต่กำเนิดอีกด้วย เมื่อเทียบกับหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะอ้วน

2. ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorders)

การที่ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง จะทำให้เซลล์ผนังหลอดเลือดทำงานผิดปกติ การไหลเวียนเลือดไม่มีประสิทธิภาพ เกิดแรงดันในหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีภาวะความดันโลหิตสูงตามมา

3. ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes mellitus)

เป็นผลจากภาวะดื้ออินซูลินทำให้มีการกระตุ้นตับให้สร้างและผลิตน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน และกลับเข้าสู่เซลล์ได้ ส่งผลให้เกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ตามมา

4. ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Thromboembolic disorders)

การตั้งครรภ์ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดช้าลงทำให้เลือดแข็งตัวง่าย และเกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตันตามมา หากมีภาวะน้ำหนักเกินร่วมด้วย จะทำให้การไหลเวียนของหลอดเลือดล่าช้าลง

5. ทารกตัวโต (Macrosomia)

ภาวะดื้ออินซูลินจะกระตุ้นตับให้สร้าง และผลิตน้ำตาลออกมาเพิ่มขึ้น และถูกส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์ ในขณะที่อินซูลินของมารดาไม่สามารถผ่านรกไปสู่ทารกได้ ทำให้ตับอ่อนของทารกสร้างอินซูลินออกมามากขึ้น และนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ทารกในครรภ์ตัวโต และมีน้ำหนักตัวแรกเกิดมากกว่าอายุครรภ์

ข้อควรปฏิบัติขณะตั้งครรภ์

การดูแลเพื่อควบคุมน้ำหนักในสตรีตั้งครรภ์กลุ่มนี้คือ การส่งเสริมให้ปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพอย่างเหมาะสม และต่อเนื่อง โดยเน้นที่พฤติกรรมด้านการบริโภค และด้านกิจกรรมทางกาย ซึ่งมีวิธีการ ดังนี้

ด้านการบริโภคอาหาร

1. ทานกรดโฟลิก 5 มิลลิกรัม/วัน ครั้งแรกที่มาฝากครรภ์ และไอโอดีนเสริม 150 ไมโครกรัม/วัน เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต และพัฒนาการทางระบบประสาทที่ดี ป้องกันทารกผิดปกติแต่กำเนิด

อ่านเพิ่มเติม -> วางแผนมีลูก หมอแนะนำกินกรดโฟลิกรอไว้เลย

2. ควรรับประทานในรูปคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้แก่ ธัญพืช ข้าวไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เป็นต้น รวมทั้งงด และหลีกเลี่ยงอาหารหวาน เช่น ขนม ลูกอม ช็อคโกแลต เยลลี่ เป็นต้น

3. กลุ่มอาหารประเภทกากใย ได้แก่ ผัก และผลไม้ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล ไขมัน และโคเลสเตอรอล และอาหารกลุ่มนี้ยังผ่านลำไส้ได้ช้าทำให้รู้สึกอิ่มนาน

4. กลุ่มแคลเซียม เช่น ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง และนมซึ่งเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด โดยเน้นให้ดื่มนมไขมันต่ำ นมจืดพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนยเป็นประจำทุกวัน

ด้านกิจกรรมทางกาย

1. เคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง เช่น การทำงานบ้าน การลุกเดินผ่อนคลาย หรือหลังรับประทานอาหารเสร็จ เป็นต้น ไม่ควรนั่ง หรือนอนเป็นเวลานาน

2. แนะนำให้ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และโยคะ เป็นต้น โดยต้องประเมินความพร้อมของสตรีตั้งครรภ์ก่อนการออกกำลังกาย

 

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้  ได้ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่

อ้างอิง : 1. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ เรื่องภาวะน้ำหนักเกินขณะตั้งครรภ์ 2. ภาควิชาสูติ-นรีเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3. เวชบันทึกศิริราช เรื่องน้ำหนักตัวมารดากับการตั้งครรภ์:
ปัจจัยที่สูติแพทย์อาจมองข้าม 4. ศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close