สาว ๆ หลายคน จะต้องเคยมีอาการ ปวดท้องน้อย หรือปวดในอุ้งเชิงกรานกันมาบ้าง บางคนอาจจะปวดน้อย บางคนก็ปวดมาก หรือที่บ่นกันบ่อย ๆ ก็คงหนีไม่พ้น อาการปวดท้องขณะมี หรือหลังมีประจำเดือน ซึ่งหลายคนก็ปล่อยให้มันผ่านไป ทนนิดเดียวเดี๋ยวก็หายแล้ว อย่างมากก็กิน ยาแก้ปวดท้อง เพื่อบรรเทาอาการเอง แต่อาการปวดท้องน้อยบางอย่างก็เป็นอันตรายได้ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ปวดท้องน้อย แล้วจะรักษาได้อย่างไร วันนี้เราได้นำมาบอกคุณแล้ว
อาการปวดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็น อาจปวดเจ็บ ปวดหน่วง หรือปวดบิดเป็นพัก ๆ ที่บริเวณท้องน้อย อาจปวดร้าวไปที่อวัยวะอื่น ๆ (หลัง ก้นกบ ต้นขา) ที่เกิดจากการมีความผิดปกติของเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะที่อยู่ในท้องน้อย หรืออุ้งเชิงกราน ทำให้มีอาการปวดขึ้นแบบเฉียบพลัน หรือปวดแบบเรื้อรัง
สาเหตุที่พบได้บ่อย คือ ปวดประจำเดือน กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ และตั้งครรภ์นอกมดลูก พบได้มากในผู้หญิงเจริญพันธุ์ตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน ถึงวัยหมดประจำเดือน
เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ และแต่ละสาเหตุก็ทำให้มีอาการปวดได้แตกต่างกันไป เช่น ไส้ติ่งอักเสบ จะกดเจ็บตรงท้องน้อยด้านขวา ปีกมดลูกอักเสบ จะกดเจ็บตรงท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง หรือเพียงข้างเดียว และมีไข้สูง กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน อาการคือ
1. ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน (Acute pelvic pain) จะมีอาการปวดแบบทันทีทันใด มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย หรืออาจเป็นลม สาเหตุมักเกิดจาก การขาดเลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะในช่องท้อง หรืออวัยวะที่เป็นสาเหตุได้รับความเสียหาย และมักเกิดจากสาเหตุสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น มดลูกอักเสบ เนื้องอกรังไข่ ท้องนอกมดลูก ถุงน้ำรังไข่แตก รั่ว หรือบิดขั้ว ภาวะไข่ตกในช่วงกลางรอบเดือน นิ่วในท่อไต ปวดประจำเดือน
2. ปวดท้องน้อยเรื้อรัง (Chronic pelvic pain) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย และเป็นปัญหาอย่างมากในการวินิจฉัย และให้การรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีประวัติการรักษาจากแพทย์หลายคน เนื่องจากวินิจฉัยหาสาเหตุได้ค่อนข้างยาก อาการปวดอาจเกิดจากสาเหตุเดียว หรือเกิดจากหลาย ๆ สาเหตุร่วมกันก็ได้ เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ แล้วต่อมาจะปวดตลอดเวลา หรืออาจจะปวดเป็นช่วง ๆ ไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้ และอาการปวดมักจะเป็นต่อเนื่องกันมากกว่า 3-6 เดือน สาเหตุที่พบได้บ่อย ๆ ได้แก่
เนื่องจากการ ปวดท้องน้อย เกิดได้จากหลายสาเหตุ แพทย์อาจต้องใช้เวลาในการหาสาเหตุที่ถูกต้อง เริ่มต้นจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจภายใน ซึ่งการซักประวัตินั้น เป็นสิ่งที่จำเป็น และสำคัญเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยจะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบอย่างละเอียดว่า ลักษณะการปวดเป็นอย่างไร เช่น
• ปวดแบบแปลบ ๆ ปวดแบบบีบ ๆ ปวดแบบมวน ๆ ปวดแบบตื้อ ๆ ปวดดิ้น หรือเจ็บเหมือนมีเข็มตำ
• ปวดตื้น ๆ หรือปวดลึก ๆ มีจุดกดเจ็บหรือไม่
• ปวดเป็นพัก ๆ หรือปวดตลอดเวลา
• ปวดมากน้อยเพียงใด ปวดจนเป็นลมหรือไม่
• ช่วงเวลาที่มีอาการปวด ระยะเวลาที่ปวด มีอาการปวดมากเวลาใด
• ตำแหน่งที่ปวดอยู่ที่เดียว หรือมีการเปลี่ยนตำแหน่ง
• อาการปวดเริ่มที่บริเวณใด แล้วปวดร้าวไปที่บริเวณใดบ้างหรือไม่
• เริ่มปวดเมื่อไร ปวดมาแล้วกี่วัน ปวดมานานแล้วหรือยัง เคยปวดในลักษณะเดียวกันมาก่อนหรือไม่
• อะไรที่ทำให้อาการปวดดีขึ้น หรือแย่ลง เช่น เมื่อนอนพักอาการปวดจะดีขึ้น แต่จะปวดในขณะที่ยืน
• อาการปวดสัมพันธ์กับอะไรบ้างหรือไม่ เช่น สัมพันธ์กับการมีประจำเดือน การมีเพศสัมพันธ์ การกลั้นปัสสาวะ อาหาร การยืน การเดิน การก้าวขา หรือการนอน
นอกจากนี้ อาจต้องมีการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อความมั่นใจในการวินิจฉัย เช่น
• การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรืออัลตร้าซาวด์ เพื่อให้เห็นลักษณะของมดลูกและปีกมดลูกได้
• การส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ
• การตรวจทวารหนัก และส่องตรวจสำไส้ใหญ่
• การส่องตรวจทางหน้าท้องดูในอุ้งเชิงกราน
• การทำเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอ็มอาร์ไอ MRI
• การฉีดสีดูระบบทางเดินปัสสาวะ
• การกลืนแป้ง หรือสวนแป้งเอกซ์เรย์ดูทางเดินอาหาร
1. ใช้ยารักษา เช่น ยาปฏิชีวนะ ถ้ามีการอักเสบติดเชื้อ เช่น มดลูกอักเสบ ยาลดการอักเสบ ถ้ามีการอักเสบที่ไม่ติดเชื้อ เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ หรืออาจให้ยาฮอร์โมนหรือยาคุมกำเนิด เพื่อลดอาการปวดประจำเดือน ส่วนใหญ่การให้ยาในโรคเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ หรือเนื้องอกมดลูก มักเป็นการรักษาแบบชั่วคราว เมื่องดยาอาการอาจกำเริบขึ้นอีก
2. การผ่าตัด โรคบางอย่างต้องรักษาโดยการผ่าตัด เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ในอุ้งเชิงกราน การผ่าตัดโดยวิธีการส่องกล้องผ่านช่องท้องจะทำให้รู้สาเหตุ และรักษาบางอย่างไปพร้อมกันได้ในคราวเดียว เช่น เนื้องอกมดลูก หรือมีถุงน้ำรังไข่ ซึ่งสามารถทำการวินิจฉัยก่อนผ่าตัดได้ โดยแพทย์จะอธิบายให้ฟังก่อนการผ่าตัด ถึงความจำเป็น ผลดี และโรคแทรกซ้อน ตามอาการของโรคที่เป็น
3. รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การให้ทำกายภาพบำบัด ให้ยาคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ฉีดยาชาเฉพาะที่ รวมทั้งการสอนให้มีการออกกำลังกาย การฝึกท่าทางการเดินการนั่ง เป็นต้น
สรุป อาการปวดท้องน้อย มีทั้งชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง ถึงแม้ว่าโรคปวดท้องน้อยจะเกิดได้มากในผู้หญิง แต่ผู้ชายก็สามารถเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของระบบทางเดินปัสสาวะที่อาจเกิดความผิดปกติขึ้นนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อมีอาการปวดท้องน้อย อย่าย่ามใจไป เนื่องจากอาการนี้เป็นได้หลายสาเหตุ ทางที่ดีที่สุด ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยโรคต่อไป
ถามหมอออนไลน์ ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้ ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่
Facebook : GEDGoodLife
Nutroplex : nutroplexclub
Twitter : @gedgoodlife
Line : @gedgoodlife
Youtube : GEDGoodLife ชีวิตดีดี