7 โรคผิวหนัง ต้องระวัง! ในฤดูฝน พร้อมวิธีป้องกันจากแพทย์ผิวหนัง

โรคผิวหนัง

หน้าฝนทีไร ผิวหนังมีผื่นแดง คัน ลอกเป็นขุย ทุกที! ใครมีอาการเหล่านี้อยู่บ้าง มารวมกันทางนี้ เพราะ วันนี้ GedGoodLife มีทั้ง โรคผิวหนัง ที่ควรระวังในหน้าฝน พร้อมวิธีป้องกันโรคผิวหนัง ช่วงหน้าฝน จากแพทย์ผิวหนังมาฝากแล้ว มาติดตามกันเลย!

– 5 ผื่นโควิด วิธีสังเกต และรักษา พร้อมวิธีใช้ยาแก้แพ้ รักษาผื่น อย่างถูกต้อง
– 6 โรคหน้าฝน ที่ไม่รัก!! ระวังไว้หน่อย จะได้ไม่ป่วย

decolgen ดีคอลเจน

7 โรคผิวหนัง ที่ต้องระวัง! ในฤดูฝน

1. ผื่นผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา

– โรคเกลื้อน  เป็นโรคที่มีลักษณะเป็นผื่นวงกลมหลายวง โดยตัววงจะเป็นสีขาว หรือสีคล้ำขึ้น มีขุยละเอียด สีแตกต่างกัน เกิดขึ้นได้บนผิวหนังบริเวณ เช่น หลัง หน้าอก ท้อง ใหล่ คอ ผู้ที่มีเหงื่อออกมาก หรือใส่เสื้อผ้าที่อับชื้นมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย

– โรคกลาก เป็นผื่นวงมีขอบเขตชัดเจน มีขุยอยู่บริเวณขอบของวงผื่น มีอาการคัน ตามด้วยผื่นแดง และลามเป็นวงออกไปเรื่อย ๆ โดยจะเกิดขึ้นในจุดอับชื้นบริเวณ หนังศีรษะ รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ ฝ่าเท้า และบริเวณซอกนิ้วเท้า

โรคผิวหนัง

2. โรคน้ำกัดเท้า

โรคนี้มักมีอาการระคายระคายเคืองผิวหนังจากความอับชื้น เมื่อสัมผัสสิ่งสกปรก อาจจะในบริเวณบริเวณที่มีน้ำท่วมขังหลังฝนตก ทำให้เกิดขึ้นผื่นตามเท้า หรือซอกนิ้วเท้า ในบางรายอาจมีอาการติดเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย

ผศ.พญ.จรัสศรี ฬียาพรรณ ภาควิชาตจวิทยา คณะเเพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อาการของโรคน้ำกัดเท้า มักมีอาการคันที่ซอกนิ้วเท้า เท้าลอกเป็นขุย บางครั้งอาจมีผื่นหน้าขึ้นที่เท้า โดยหากไม่ได้รับการรักษาเชื้อราที่เท้าอาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดเป็นแผลเป็นทางเข้าของแบคทีเรีย และเป็นแบคทีเรียที่ผิวหนังต่อไปได้

3. ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคที่จะเกิดมากขึ้นในช่วงฤดูฝน เพราะอุณหภูมิของอากาศ และความชื้นมีความเปลี่ยนแปลงไป โดยอาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง คือ มักมีผื่นแดง แห้งลอก มีอาการคันมากที่บริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา ใบหน้า แขน ขา และซอกคอ เป็นต้น

– ทำความเข้าใจ ผื่น ทั้ง 6 ประเภท และผื่นแย่แค่ไหนถึงควรพบแพทย์
– ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ดูแลรักษายังไงดี ?

4. ผื่นผิวหนังอักเสบจากแมลง

ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงแห่งการเพิ่มจำนวนของแมลงหลายชนิด ซึ่งแมลงบางอย่างก็อาจทำให้เราเกิดอาการผื่นผิวหนังอักเสบได้ เช่น ยุง หมัด ไร ด้วงก้นกระดก หากตัวเราได้สัมผัส หรือบังเอิญไปสัมผัสแล้วก็อาจเกิดเป็นผื่นผิวหนังอักเสบได้ โดยหากมีอาการแพ้อย่างรุนแรงควรรับไปพบแพทย์ทันที

5. โรคงูสวัด

โรคนี้มีเชื้อไวรัส Herpes Virus เป็นเชื้อเดียวกับอีสุกอีใส เมื่อเป็นอีสุกอีใสหายแล้ว เชื้อจะยังอยู่ในปมประสาท ซึ่งหากร่างกายของเราอ่อนแอ เชื้อจะออกมาโดยจะเป็นลักษณะของตุ่มน้ำ เรียงตัวเป็นเส้นตามเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อน โดยความรุนแรงของโรคนี้ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย บางคนหากหายแล้วก็จะมีอาการเส้นประสาทอักเสบไปอีกนาน แต่ปัจจุบันสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดได้แล้ว

โรคผิวหนัง

6. โรคผื่นกุหลาบ

เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่มีอาการเฉียบพลัน และยังไม่ทราบสาเหตุของโรคอย่างแน่ชัด โดยอาการของโรคคือ ผื่นจะมีลักษณะเฉพาะรูปร่างกลมหรือรี และจะกระจายเป็นแนวตามร่องบนผิว คล้ายกับลักษณะของต้นสน

โรคผื่นกุหลาบนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดในคนอายุน้อย โดยเฉพาะช่วงวัย 10-35 ปี พบในเพศหญิงได้มากกว่าผู้ชายในอัตรา 2:1 ผื่นมักเกิดอยู่นานประมาณ 6-8 สัปดาห์แล้วหายได้เอง แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นนานถึง 5 เดือนหรือมากกว่า

การวินิจฉัยแยกกับผื่นผิวหนังอักเสบอื่น ๆ มีรายงานว่า การเกิดผื่นกุหลาบในผู้ป่วยตั้งครรภ์ เป็นความเสี่ยงทำให้เกิดการแท้งได้ โดยเฉพาะช่วง 15 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า ผื่นแรกมักเกิดขึ้นบริเวณลำตัว และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งอาจพบบริเวณคอ หรือแขนขาส่วนบนได้ โดยลักษณะของผื่นจะเป็นสีชมพู หรือสีน้ำตาล อาจมีขอบยกเล็กน้อย ขนาดประมาณ 2 – 4 ซม.แต่บางกรณีอาจมีขนาด 1 ซม. หรือใหญ่ถึง 10 ซม. ตัวผื่นจะมีขุยขนาดเล็ก มักไม่พบผื่นบริเวณหน้า มือ แล้วเท้า ในส่วนของอาการคัน พบได้ประมาณ 25% โดยโรคผื่นกุหลาบมักหายได้เอง และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นไว้บนผิว

อ่านเพิ่มเติม -> ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังที่มาพร้อมหน้าฝน! สาเหตุ อาการ วิธีรักษา

7. โรคเท้าเป็นรู 

หรือโรคเท้าเหม็น เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่อาจมองข้ามไป เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่ชอบความอับชื้น ลักษณะโรคจะเห็นฝ่าเท้ามีรูพรุน ๆ เป็นวง ๆ มีกลิ่นอับ มักพบในคนที่มีเหงื่อออกที่เท้าเยอะ การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะทา หรือรับประทาน


วิธีการป้องกันโรคผิวหนัง ในฤดูฝน

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง แนะว่า

– เลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของประเทศไทย ควรเป็นผ้าผ้าฝ้ายบริสุทธิ์ เพราะสวมใส่สบาย แห้งง่าย ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

– เนื้อผ้าที่ต้องระวังคือผ้าประเภทขนสัตว์ ผ้าไนลอน เพราะอาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง และมักเป็นสาเหตุทำให้เกิดผดผื่นคัน

– ควรซักเสื้อผ้าให้สะอาด และตากแดดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะเสื้อผ้าประเภทที่มีเนื้อผ้าหนาควรตากแดดให้แห้งสนิทจริง ๆ เพราะเนื้อผ้าประเภทนี้มักแห้งช้ากว่าผ้าปกติ

– ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะคนอ้วนเสื้อผ้ามักจะเสียดสีกับผิวหนังทำให้เกิดการระคายเคือง และอับชื้นได้ง่าย

– เวลานอนควรสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย

– ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดชั้นในเวลานอน เพื่อให้จุดอับชื้นต่าง ๆ ในร่างกายมีการระบายได้ดี

ทั้งนี้ ควรดูแลร่างกายตนเองให้แข็งแรง ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นทานผัก และผลไม้ที่มีวิตามิน C, E และเบต้าแคโรทีน เช่น ข้าวโพด แครอท ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ ดื่มน้ำสะอาด และพักผ่อนให้เพียงพอ หากพบความผิดปกติบริเวณผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโดยตรง เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี

ในส่วนของ นายแพทย์ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้คำแนะนำว่า สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายมีเหงื่อมาก ผู้ที่โดนฝน หรือสวมเสื้อผ้าที่ไม่แห้งสะอาด การเลือกสวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมในช่วงฤดูฝนถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย แห้งง่าย ไม่ควรใส่ผ้าเนื้อหนา และรัดรูปจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการเสียดสีบริเวณผิวหนัง ซึ่งนำไปสู่อาการของโรคผิวหนังได้

นอกจากนี้ การที่เหงื่อออกมาก อับชื้น เชื้อรา และแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดี ส่งผลให้เกิดอาการแพ้เสื้อผ้า มีผื่นคันตามจุดต่าง ๆ เช่น ผู้ที่ชอบสวมเสื้อแขนรัดมักพบผื่นบริเวณรักแร้ ส่วนผู้ที่ชอบสวมกางเกงยีนส์รัดรูปมักพบผื่นบริเวณขาหนีบ เป็นต้น นอกจากการติดเชื้อที่ผิวหนังแล้ว ยังส่งผลให้เกิดกลิ่นอับ กลิ่นตัว เพราะเหงื่อระเหยได้ยากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

อ้างอิง : 1. สสส.   2. chulalongkornhospital   3. siamrath

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close