“ยาพาราเซตามอล” กินให้ถูก กินให้ดี ต้องกินอย่างไร?

ยาพาราเซตามอล

ยาพาราเซตามอล เป็นยา แก้ปวด แก้หวัด ลดไข้ ที่ใช้กันทั่วไป เพราะทั้งหาซื้อได้ง่าย และเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ใช้ได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาของแพทย์ แต่ก็เพราะความง่ายนี่เอง ที่ทำให้หลายคนปวดนิด ป่วยหน่อย ก็จะกินแต่ยาพารา แต่รู้หรือไม่ว่า หากใช้อย่างไม่เหมาะสม ก็สามารถสร้างผลเสียให้กับร่างกายได้เช่นกัน

สรรพคุณของ ยาพาราเซตามอล

พาราเซตามอล สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดลดไข้ได้ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย หาซื้อได้ง่าย และเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี เพราะไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ไม่ทำให้เลือดออกง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่แพ้ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือในผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก หรือมีภาวะเลือดออกง่าย โดยสรรพคุณของ ยาพาราเซตามอล คือ

• ใช้เป็น ยาลดไข้ แก้ตัวร้อน
• ใช้เป็นยาแก้อาการปวดทุกชนิด ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ยาแก้ปวดศีรษะ ยาแก้ปวดฟัน ยาแก้ปวดหลัง ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ เคล็ดขัดยอก ยาแก้ปวดประจำเดือน รวมถึงอาการปวดเมื่อเป็นหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ แต่ยาชนิดนี้ ไม่มีฤทธิ์ในการช่วยลดการอักเสบของร่างกาย
• ไม่สามารถช่วยระงับอาการปวดระดับรุนแรงได้ เช่น อาการปวดจากแผลผ่าตัดใหญ่ หรือจากมะเร็ง

ยาพาราเซตามอล

การใช้ยาพาราเซตามอล อย่างเหมาะสม และถูกต้อง

ยาพาราเซตามอล เป็นยาที่สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ ส่วนการใช้ยาที่เหมาะสม คือ
 ควรกินห่างกันอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
 เด็ก : 10-15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวเด็ก 1 กิโลกรัม ไม่ควรกินเกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
 ผู้ใหญ่ : 500 มิลลิกรัม ไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน (8เม็ด / วัน)
 ไม่กินยาร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
 ใช้ยาเฉพาะเวลามีอาการ

หากกินยาพาราเซตามอลเกินขนาด จะก่อให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
ท้องเสีย
• เหงื่อออกมากผิดปกติ
เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน
• ปวดท้องอย่างรุนแรง
• ปวดบวมที่หน้าท้องส่วนบน หรือบริเวณช่องท้อง

ผลข้างเคียงจากการใช้ ยาพาราเซตามอล

แม้ว่าจะปลอดภัย แต่การใช้ยาพาราเซตามอล ก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ โดยผลข้างเคียงที่เด่นชัดที่สุดคือ เป็นพิษต่อตับ ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้มากเกินขนาด (มากกว่า 140 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม) ก็อาจทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย และทำให้เป็นโรคตับวายเฉียบพลัน จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด

หากกินยาพาราเซตามอลแล้วเกิดอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไป พบแพทย์ในทันที

• อุจจาระเป็นเลือด หรือมีสีดำ
• ปัสสาวะเป็นเลือด หรือปัสสาวะน้อยลงโดยไม่มีสาเหตุ
• มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ
• ปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรง
• มีจุดแดงเล็ก ๆ ขึ้นตามผิวหนัง มีผื่นคัน
• มีแผลร้อนใน หรือ จุดขาว ๆ ขึ้นที่ริมฝีปาก หรือภายในช่องปาก
• เลือดออกผิดปกติ, เหนื่อยง่ายผิดปกติ
• ตาเหลือง ตัวเหลือง

ยาพาราเซตามอล
ขอขอบคุณภาพอินโฟกราฟฟิกจาก กระทรวงสาธารณสุข

ยาพาราเซตามอลกับ คนท้อง และคุณแม่ให้นมลูก

ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุว่า พาราเซตามอล มีความเสี่ยงต่อคนท้อง อย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น หากกำลังตั้งครรภ์อยู่ ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง
สำหรับคุณแม่ที่กำลังอยู่ในช่วงให้นมลูก ยาพาราเซตามอลสามารถถูกขับออกทางน้ำนมได้ แต่แม้ว่าจะยังไม่มีการห้ามใช้ในสตรีที่กำลังให้นมบุตร หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรเหลีกเลี่ยง

การเก็บรักษายาพาราเซตามอล

• ควรเก็บยาในภาชนะบรรจุเดิม ปิดให้สนิท และเก็บให้พ้นจากเด็ก และสัตว์เลี้ยงเสมอ
• ควรเก็บยาที่อุณหภูมิห้อง ไม่ถูกแสงแดดและความร้อน ไม่เก็บในที่ที่มีอุณหภูมิสูงว่า 30 องศาเซลเซียส และไม่เก็บยาในบริเวณที่มีความชื้นสูง เพราะความร้อนและความชื้น อาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้
• สำหรับยาน้ำ เมื่อใช้แล้วควรปิดขวดให้สนิท และเก็บอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส หลังเปิดขวดแล้ว สามารถใช้ยาต่อไปได้ไม่เกิน 3 เดือน หากยายังไม่เสื่อมสภาพ
• หากพบว่ายาหมดอายุ หรือเสื่อมสภาพแล้ว เช่น มีสีหรือกลิ่นเปลี่ยนไป เม็ดยาแตกหัก ควรทิ้งทันที

 

ถามหมอออนไลน์ ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้  ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่

ติดตามGedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่…

Facebook : GEDGoodLife
Nutroplex : nutroplexclub
Twitter      : @gedgoodlife
Line          : @gedgoodlife
Youtube   : GEDGoodLife ชีวิตดีดี

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close