3 โรคจากไวรัสหน้าฝน อันตรายทำลูกเสียชีวิตได้!

โรคจากไวรัสหน้าฝน

โรคอันตรายที่มาพร้อมกับสายฝน ทำให้พ่อแม่หลายคนกังวล ไม่เพียงแค่ไข้หวัดทั่วไปเท่านั้น แต่บางโรคก็อาจจะอันตราย เสี่ยงถึงชีวิตได้เลย โรคจากไวรัสหน้าฝน สำหรับเด็ก มีโรคอะไรบ้าง แล้วควรดูแล ป้องกันอย่างไร

3 โรคจากไวรัสหน้าฝน 

1. ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี มี “ยุงลาย” เป็นพาหะ บางคนที่ติดเชื้อ อาจมีอาการรุนแรง จนกลายเป็นไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever) ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต

อาการของไข้เลือดออก

อาการไข้เลือดออก แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ

ระยะแรก (ระยะไข้สูง)

  • อาจยังไม่รู้ว่าเป็นไข้เลือดออก เพราะมีอาการแค่เป็นไข้
  • มีไข้สูง และเป็นหลายวัน (ประมาณ 5-6 วัน)
  • ปวดเมื่อยตัว
  • อาจคลื่นไส้อาเจียนด้วย
  • ถ้ามีอาการในช่วงฤดูฝน หรือ ช่วงไข้เลือดออกระบาด ควรไปพบแพทย์
  • ระวัง ถ้ามีไข้ ให้ใช้ ยาพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน และไอบูโพรเฟน ซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร และเกิดปัญหาเลือดออกในกระเพาะอาหาร รวมถึงเลือดไม่แข็งตัว

ระยะวิกฤติ

  • มักมีไข้มาแล้วหลายวัน
  • ลูกจะเริ่มเพลียมากขึ้น อาจมีอาการปวดเมื่อยตัวมากขึ้น
  • มีอาการปวดท้อง ท้องอืด เบื่ออาหาร
  • ผิวหน้า-ฝ่ามือ-ฝ่าเท้า ดูแดง ๆ
  • ในช่วงนี้เด็กบางคนอาจพูดคุยได้ดี
  • หากเด็กมีอาการกระสับกระส่าย อาเจียนมาก ปวดท้องมาก ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็นผิดปกติ ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด อาจกำลังเข้าสู่ระยะช็อก

ระยะฟื้นตัว

  • เป็นระยะหลังไข้ลงโดยไม่มีอาการช็อก โดยเกล็ดเลือดจะเริ่มกลับสูงขึ้น
  • ชีพจร และความดันโลหิตเริ่มคงที่ดีขึ้น
  • ปัสสาวะเริ่มออกมากขึ้น
  • อาการปวดท้อง และท้องอืดจะดีขึ้น
  • รู้สึกมีแรงมากขึ้น
  • มักพบผื่นแดง และคันตามฝ่ามือ และฝ่าเท้าโดยไม่มีการลอกตัวของผิวหนัง

การรักษาโรคไข้เลือดออก

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ ดังนั้นการรักษาหลักจึงเป็นการรักษาตามอาการเพื่อประคับประคองให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เช่น

  • ให้ยาลดไข้แก้ปวด
  • เช็ดตัวลดไข้
  • ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ
  • กินยาพาราเซตามอลลดไข้
  • ห้ามให้ยาลดไข้ที่มีส่วนผสมของแอสไพริน
  • ในรายที่อาการไม่รุนแรงอาจหายได้เองภายใน 2-7 วัน
  • เฝ้าระวังไม่ให้เกิดอาการช็อค

ดูแล ป้องกันไข้เลือดออกอย่างไรดี ?

  • วิธีที่ดีที่สุด คือ ป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด
  • สวมใส่เสื้อผ้าให้ลูกปกปิดมิดชิด
  • ติดมุ้งลวด ปิดบ้านให้มิดชิด ไม่เปิดบ้านทิ้งไว้
  • ใช้สารไล่ยุงชนิดต่าง ๆ เช่น DEET
  • ใช้สติ๊กเกอร์กันยุงติดตามเสื้อผ้าของลูก
  • ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้าน เช่น ท่อระบายน้ำ แจกัน อ่างน้ำ ฯลฯ

2. ไวรัส RSV

ไวรัส RSV เป็น โรคจากไวรัสหน้าฝน ที่เกิดจากเชื้อ RSV – Respiratory Syncytial Virus มี 2 สายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B เป็นไวรัสทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และมีการระบาดเกือบทุกปีที่เด็ก ๆ เป็นกันเยอะ โดยเฉพาะในช่วงอากาศชื้น ในหน้าฝน

มีอาการที่ดูเหมือนคล้ายเป็นหวัด แต่ไวรัส RSV ส่งผลกับหลอดลม หากมีอาการรุนแรง หรืออาการแทรกซ้อน อาจทำให้เสียชีวิตได้เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ติดต่อกันได้โดยการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ

อาการของไวรัส RSV

  • อาการเริ่มแรก อาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล
  • ถ้าอาการรุนแรงอาจ มีไข้สูง คือไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส
  • กินอาหาร หรือกินนมไม่ได้ มีอาการซึมลง
  • หายใจลำบาก หอบ
  • ปากเขียว ตัวเขียว
  • มีอาการไอหอบรุนแรงจนชายโครงหรือหน้าอกบุ๋ม
  • หายใจสั้น ๆ เร็ว ๆ เวลาหายใจมีเสียงวี๊ด

โรคจากไวรัสหน้าฝน

ไวรัส RSV รักษาอย่างไรดี ?

ไวรัส RSV เป็นโรคจากเชื้อไวรัส ซึ่งคล้าย ๆ กับไข้หวัดซึ่งยังไม่มีรักษาได้ ทำได้เพียงรักษาตามอาการ

วิธีป้องกัน ไวรัส RSV

  • ล้างมือ ฟอกสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ ให้ลูกล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที
  • ให้เด็ก ๆ พกเจลแอลกอฮอล์ 70% ติดตัวไว้ เมื่อต้องออกนอกบ้าน
  • หลีกเลี่ยงการไปที่ที่แออัด
  • สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องไปที่ที่คนเยอะ ๆ
  • ระวังไม่ให้ผู้ใหญ่จูบ หอมแก้มเด็ก อาจทำให้ลูกติดเชื้อไวรัส RSV ได้
  • ทำความสะอาดข้าวของ เครื่องใช้ ของเล่นที่ลูก ๆ ให้สะอาดเสมอ
  • พ่อแม่ คนในบ้านควรงดสูบบุหรี่
  • ถ้าที่โรงเรียนมีเด็กป่วยจากไวรัส RSV ควรให้ลูกหยุดเรียนเพื่อป้องกันการติดต่อ

 


3. โรคมือเท้าปาก

มือเท้าปาก หรือ มือเปื่อยปากเปื่อย เป็นอีกหนึ่งโรคจากเชื้อไวรัสที่เด็ก ๆ เป็นกันมาก และมักระบาดช่วงฤดูฝน สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส (Enterovirus) มีหลายสายพันธุ์ ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง แต่หากเกิดจากเชื้อเอนเตอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) หรือ อีวี 71 (EV71) อาจทำให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้

อาการของ โรคมือเท้าปาก

  • มีอาการไข้
  • เจ็บปาก น้ำลายไหล กินอาหารได้น้อย
  • มีแผลที่กระพุงแก้ม เพดานปาก
  • มีผื่นเป็นจุดแดง หรือตุ่มน้ำใสบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รอบก้น และอวัยวะเพศ
  • อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขาได้

มักมีอาการประมาณ 2-3 วันและดีขึ้นจนหายใน 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง

หากมีไข้สูง ซึม กินอาหารไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง ชัก ต้องรีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อน ภาวะสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือนํ้าท่วมปอด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้

โรคจากไวรัสหน้าฝน

อ่านเพิ่มเติม —> โรคมือเท้าปาก โรคร้ายที่มากับหน้าฝน!

โรคมือเท้าปาก รักษาอย่างไร ?

  • โรคมือเท้าปาก ยังไม่มียารักษา และยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
  • ถ้าอาการไม่รุนแรง ให้รักษาตามอาการ
  • กินยาลดไข้ ยาแก้หวัด เมื่อมีอาการไข้ ปวดเมื่อย
  • ให้ยาทาแก้ปวด ในรายมีแผลที่ลิ้นหรือกระพุ้งแก้ม
  • รับประทานอาหารอ่อน ๆ
  • ดื่มน้ำมาก ๆ
  • ดูแลไม่ลูกแกะเกา สัมผัส ตุ่มน้ำ ผื่นที่ขึ้นตามตัว

การป้องกันโรคมือเท้าปาก

  • หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือ เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะตอนก่อนและหลังรับประทานอาหาร หรือว่าหลังจากเข้าห้องน้ำ
  • ทำความสะอาดของเล่น ข้าวของเครื่องใช้ที่ลูกต้องสัมผัส
  • ไม่ให้ลูกใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันกับคนอื่น
  • ให้ลูกหยุดเรียน ถ้าที่โรงเรียนมีเด็กป่วยจากมือเท้าปาก อาจใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน
  • ดูแลร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อน และออกกำลังสม่ำเสมอ

หลาย ๆ โรคอันตรายของเด็ก โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส มักแพร่ระบาดในช่วงเปิดเทอม ที่เด็ก ๆ มาอยู่รวมกันมาก ๆ ดังนั้นต้องป้องกัน ดูแลสุขอนามัย ความสะอาด และดูแลลูกให้แข็งแรง คอยหมั่นสังเกตร่างกายของลูก ถ้าลูกมีอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น เช่น มีไข้ มีอาการไอ ต้องรีบรักษา


ที่มา: (1) (2) (3) (4) (5)

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้  ได้ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่

ติดตาม GedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่…

Facebook : GEDGoodLife
Nutroplex : nutroplexclub
Twitter      : @gedgoodlife
Line          : @gedgoodlife
Youtube   : GEDGoodLife ชีวิตดีดี
TikTok      : @gedgoodlife

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close