น้ำมูกไหลต้องรู้! ยาลดน้ำมูก มีกี่ประเภท แบบไหนกินแล้วไม่ง่วง?

ยาลดน้ำมูก

อาการน้ำมูกไหล มักเกิดจากโรคหวัด โรคภูมิแพ้ โรคไซนัสอักเสบ เป็นต้น โดยเฉพาะในหน้าฝน หรือช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อาจทำให้น้ำมูกไหลได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็ก และผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ ส่วนยาที่ใช้บรรเทาอาการน้ำมูกไหล ก็คือ “ยาลดน้ำมูก” ที่มีให้เลือกแตกต่างกันออกไป มีทั้งกินแล้วง่วง และ กินแล้วไม่ง่วง แบบหยด แบบพ่น เป็นต้น แล้วแบบไหนจะเหมาะกับเรา? มาดูวิธีเลือกกันเลย

อัลเลอร์นิค ชนิดเม็ด (Allernix™ tablet) ยาบรรเทาอาการแพ้

ยาลดน้ำมูก คืออะไร และมีกี่ประเภท?

ยาลดน้ำมูก เป็นยากลุ่มยาแก้แพ้ที่ใช้บรรเทาอาการน้ำมูกไหล เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดการบวมขยายของเส้นเลือดในจมูก ลดการอักเสบ และลดการสร้างน้ำมูก ยาลดน้ำมูกมีทั้งชนิดซื้อใช้ได้เอง หรือต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์ และมีรูปแบบของยาหลายประเภท ได้แก่ ยาพ่นจมูก ยารับประทานชนิดเม็ด ยาน้ำ ยาผงสำหรับละลายน้ำ ยาหยอดจมูก เป็นต้น

ยาที่ใช้ในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล มี 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

1. ยาแก้แพ้ หรือ ยาต้านฮิสตามีน (antihistamines) – มีฤทธิ์ทำให้น้ำมูกแห้ง แก้คันจมูก คันตา ลมพิษ และอาการทางผิวหนังที่เกิดจากการแพ้ ปัจจุบันคนไทยเป็นภูมิแพ้มากขึ้น ยาแก้แพ้ จึงมีอัตราการใช้สูงมากในประเทศไทย โดยยาแก้แพ้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ยาแก้แพ้ชนิดดั้งเดิมรุ่นที่1 คือ กินแล้วจะทำให้ง่วงนอน กับ ยาแก้แพ้รุ่นที่2 คือ กินแล้วไม่ทำให้ง่วงนอน (หรือง่วงน้อย)

2. ยาแก้คัดจมูก (topical decongestant) – คือยาที่ออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดในเยื่อจมูก/เยื่อเมือกบุโพรงจมูกหดตัว จึงช่วยลดอาการบวมของเยื่อจมูกที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการคัดแน่นจมูก เป็นยาที่ทำให้โล่งจมูก หายใจได้สะดวก มีทั้งแบบกิน หยด หรือพ่นจมูก (ยาชนิดหยดหรือพ่นจมูก มีข้อดีตรงที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่พ่นหรือหยด ไม่เข้าไปสู่ร่างกายส่วนอื่นแบบยากิน)

ถ้าไม่แน่ใจว่าควรใช้ยาอะไรดี แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร แจ้งถึงอาการที่เป็นให้ละเอียด เพื่อให้เภสัชกรเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรใช้ยาอะไรดีระหว่างยาแก้แพ้กับยาแก้คัดจมูก

น้ำมูกไหล แต่ทำไมเภสัชกรจ่าย “ยาแก้แพ้” ให้เรา?

เคยไหม เดินเข้าไปร้านขายยาเพื่อซื้อยาลดน้ำมูก แต่เภสัชกรกลับจ่ายยาแก้แพ้มาให้แทน? สาเหตุก็เพราะว่า ยาแก้แพ้มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของฮิสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นสารทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหล เภสัชกรจึงเลือกจ่ายยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการน้ำมูกไหล และยาแก้แพ้ยังสามารถยับยั้งอาการแพ้อื่น ๆ ที่มักมาพร้อมกับอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก

อย่างไรก็ตาม อาการน้ำมูกไหลก็ต้องพิจารณากับอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยก็ควรบอกอาการที่เป็นอยู่ให้กับเภสัชกรโดยละเอียด เพื่อจะได้รับยาให้ถูกต้องกับอาการของเรา

สีน้ำมูกแบบไหน ควรใช้ยาลดน้ำมูก และสีแบบไหนควรพบแพทย์?

ยาลดน้ำมูก ควรใช้กรณีที่มี “น้ำมูกใส” เท่านั้น ส่วนผู้ป่วยที่มีน้ำมูกสีเทา สีดำ และสีแดง ควรพบแพทย์ เพราะสีน้ำมูกที่ไม่ใช่สีใส กำลังบ่งบอกว่าเรามีปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ภูมิแพ้ หรือไข้หวัดธรรมดา อาจเป็น โรคริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบ และโรคอื่น ๆ เป็นต้น

ส่วนใครที่มีน้ำมูกใส ๆ ไหลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาจลองใช้แค่น้ำเกลือล้างจมูกช่วยไล่น้ำมูกออกไปก็ช่วยให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าล้างแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้น หรือน้ำมูกยังไหลต่อเนื่อง สามารถใช้ยาแก้แพ้เพื่อลดน้ำมูกได้

อ่านเพิ่มเติม -> รู้หรือไม่? สีน้ำมูก สามารถบอกโรคได้นะ

ใช้ยาให้ถูกกับสาเหตุของน้ำมูกไหล ถึงจะได้ผลดี!

สาเหตุที่ 1 เกิดจากไข้หวัดมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส  ทำให้มีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ซึ่งเกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อไวรัส รวมทั้งมีการทำงานของต่อมภายในโพรงจมูกให้มีการหลั่งน้ำมูก ผู้ป่วยจึงมีน้ำมูกใส ๆ ไหลออกมาจากจมูกตลอดทั้งวัน

ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรใช้ยาลดน้ำมูกกลุ่มดั้งเดิม (ทำให้ง่วงซึม) คือ ยาคลอร์เฟนิรามีนมาลีเอต (chlorpheniramine – CPM) เป็นต้น ส่วนอาการไข้ให้เลือกใช้ยาพาราเซตามอล

สาเหตุที่ 2 เกิดจากการแพ้เช่น แพ้ฝุ่นละออง แพ้อากาศ แพ้เกสรดอกไม้ เป็นต้น ร่างกายจึงตอบสนองต่อสารที่แพ้ด้วยการหลั่งสารฮีสตามีน (histamine) ทำให้เกิดอาการคันจมูก รวมทั้งน้ำมูกไหล ไอ จาม เป็นต้น อาการแพ้มักเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการเรื้อรังนานเป็นปี

ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรใช้ยาลดน้ำมูกกลุ่มใหม่ (ไม่ทำให้ง่วงนอน) คือ ยาแก้แพ้ลอราทาดีน (Loratadine) เป็นต้น

ฉะนั้น การเลือกใช้ยาลดน้ำมูก ต้องพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหล ประกอบกับประสิทธิภาพของยา และความปลอดภัย ถ้าไม่แน่ใจว่าควรใช้แบบไหน ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยา

ยาลดน้ำมูก ต้องใช้ตัวไหนถึงไม่ง่วง?

ยาลดน้ำมูกที่ไม่ทำให้ง่วงนอน คือ ยาแก้แพ้กลุ่มที่ 2 (non-sedating antihistamines) ยากลุ่มนี้จะปลอดภัยกว่ายาแก้แพ้กลุ่มดั้งเดิม เพราะออกฤทธิ์เข้าสู่สมองน้อยกว่า มีผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก ง่วงนอนน้อยกว่า กินเพียงวันละ 1 เม็ด สามารถลดน้ำมูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยชื่อยาในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ ลอราทาดีน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากกินยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วงนอน แต่กลับรู้สึกง่วงนอนเล็กน้อยก็สามารถเป็นไปได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเมื่อรับประทานแล้วก็ต้องสังเกตตัวเอง หากพบว่ามีอาการง่วงนอน ก็ต้องหลีกเลี่ยงการขับรถ การใช้งานเครื่องจักร หรือการทำงานที่ต้องใช้สติสัมปชัญญะควบคุม เป็นต้น

ถ้าเป็นทั้งหวัด มีน้ำมูกไหล และมีไข้ร่วมด้วย ควรใช้ยาอะไรดี?

ผู้ป่วยที่เป็นทั้งหวัด และมีไข้พร้อมกัน สามารถเลือกใช้ “ยาแก้หวัดสูตรผสม” (หรือจะเรียก “ยาลดไข้ผสมยาลดน้ำมูก” ก็ได้) เนื่องจากยาสูตรนี้จะมีส่วนผสมของ “ยาพาราเซตามอล” ที่ช่วยบรรเทาไข้ และ “ยาคลอร์เฟนิรามีน” มีฤทธิ์ลดน้ำมูก อยู่ในกลุ่มยาแก้แพ้ดั้งเดิมที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม

อ่านเพิ่มเติม -> ยาลดไข้ บรรเทาหวัดสูตรผสม มีสรรพคุณ และวิธีใช้อย่างไร?

การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล

การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (Nasal Irrigation) สามารถช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล และทำให้หายใจโล่งขึ้น ทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังนี้

อุปกรณ์ที่ควรเตรียมพร้อม

  1. น้ำเกลือ 0.9% g/mL (normal saline solution)
  2. กระบอกฉีดยาที่ไม่มีเข็มขนาด 10-20 mL (ทั้งน้ำเกลือและกระบอกฉีดยานี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านยาทั่วไป)

วิธีล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

  1. ดูดน้ำเกลือด้วยกระบอกฉีดยา 10-15 mL
  2. ก้มหน้า กลั้นหายใจ สอดกระบอกฉีดยาเข้ารูจมูก แล้วฉีดน้ำเกลือ 5-10 mL เข้าในจมูก
  3. สั่งน้ำมูกออกเบา ๆ สามารถทำซ้ำได้จนกว่าจะรู้สึกโล่งในรูจมูก
  4. ทำกับรูจมูกอีกข้างด้วยวิธีเดียวกัน โดยทั่วไปนิยมล้างวันละ 2 ครั้ง

GED good life สรุปให้

  1. ยาลดน้ำมูกมี 2 ประเภท คือ 1.ยาแก้แพ้ กับ 2.ยาแก้คัดจมูก
  2. ควรใช้ยาลดน้ำมูก เมื่อมีน้ำมูกสีใสเท่านั้น ถ้าเป็นสีอื่น ๆ ควรเข้าพบแพทย์ หรือปรึกษาเภสัชกร
  3. ลอราทาดีน เป็นยาแก้แพ้กลุ่มที่ 2 ที่ช่วยลดน้ำมูกและไม่ทำให้ง่วงนอน (หรือง่วงน้อยในผู้ป่วยบางราย)
  4. หากมีไข้หวัดร่วมกับอาการแพ้ สามารถเลือกใช้ ยาแก้หวัดสูตรผสม เพื่อบรรเทาอาการได้
  5. การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ช่วยลดน้ำมูกได้

อ้างอิง : 1. พบแพทย์ 1. คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล1/2 2. oknation 3. รพ. จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 4. webmd

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close