กินยาแก้แพ้เป็นประจำ อันตรายไหม? แบบกินแล้วง่วง กับไม่ง่วง เลือกแบบไหนดีกว่ากัน?

กินยาแก้แพ้เป็นประจำ

ยาแก้แพ้ ยาแก้แพ้อากาศ ยาแก้แพ้อาการคันตามผิวหนัง ยาแก้แพ้ชนิดง่วง กับ ไม่ง่วง และอีกสารพัดที่คนเป็นภูมิแพ้ต่างก็มึนงงว่าจะเลือกยังไงดีนะ!? และอาจกังวลว่า หากกินเป็นประจำจะอันตรายต่อสุขภาพไหม? วันนี้ GED good life มาไขคำตอบให้แล้ว มาดูกันเลยว่า กินยาแก้แพ้เป็นประจำ จะกระทบต่อสุขภาพหรือเปล่า พร้อมวิธีเลือกใช้ยาแก้แพ้อย่างถูกต้อง!

อัลเลอร์นิค ชนิดเม็ด (Allernix™ tablet) ยาบรรเทาอาการแพ้

ยาแก้แพ้ ใช้รักษาอาการแพ้อะไรบ้าง?

ยาแก้ภูมิแพ้ (Antihistamines หรือ ยาต้านฮีสตามีน) เป็นยาที่ใช้รักษาอาการแพ้ต่าง ๆ ที่เกิดจาก…

  • แพ้อากาศ
  • แพ้เกสรดอกไม้
  • แพ้อาหาร
  • แพ้ยา
  • แพ้แมลงกัดต่อย
  • แพ้ขนสัตว์
  • ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นลมพิษ
  • สัมผัสพืชพิษ
  • สัมผัสสารเคมีบางอย่าง

โดยยาแก้ภูมิแพ้ มีฤทธิ์เข้าไปยับยั้งตัวรับสารฮิสตามีน (Histamines) ที่เป็นต้นเหตุของอาการแพ้ ส่งผลให้อาการคัดจมูก น้ำตาไหล น้ำมูกไหล ผื่น ลมพิษ อาการอื่น ๆ ทุเลาลง

อ่านเพิ่มเติม -> ภูมิแพ้ คืออะไร มีสาเหตุ อาการอะไรบ้าง หายขาดได้หรือไม่? พร้อมวิธีรักษาภูมิแพ้

กินยาแก้แพ้เป็นประจำ จะอันตรายต่อสุขภาพไหม?

สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ได้ชี้แจงไว้ว่า ยาแก้แพ้ ไม่ใช่ยาอันตราย แต่หากรู้จักใช้อย่างถูกต้องจะได้ประโยชน์สูงสุด” พร้อมทั้งแนะนำถึงวิธีการใช้ยาแก้แพ้ ไว้ 3 ประการ ที่คนเป็นภูมิแพ้ควรรู้ไว้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ ประสิทธิภาพสูงสุด และที่สำคัญต้องปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียง ดังนี้

1. ยาแก้แพ้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามผลข้างเคียง ได้แก่

ประเภทที่ 1 “ทำให้ง่วง” (ยาแก้แพ้รุ่นเดิม หรือรุ่นที่1) ตัวอย่างยา เช่น คลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine), ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine), ไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine)

ประเภทที่ 2 “ไม่ทำให้ง่วง” (ยาแก้แพ้รุ่นใหม่ หรือรุ่นที่ 2) ตัวอย่างยา เช่น ลอราทาดีน (Loratadine), เดสลอราทาดีน (Desloratadine)

โดยยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วง (หรือง่วงน้อย) จะเป็นที่นิยมในปัจจุบันมากกว่า เนื่องจากมีความปลอดภัยสูงกว่า และข้อดีคือไม่ทำให้ง่วงระหว่างวัน จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าชนิดที่ทำให้ง่วงนอน

2. ควรมีหลักการและระวังการใช้ยา

– ควรใช้ยาก่อนสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้แพ้ และใช้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ต้องพบกับสารที่ก่อภูมิแพ้ และ ยาแก้แพ้จะใช้ได้ผลดีกับการป้องกันมากกว่าการระงับอาการแพ้

– ควรเริ่มใช้ยาจากขนาดต่ำก่อน แล้วค่อยปรับขนาดขึ้น จนได้ผลที่น่าพอใจ แต่ต้องระวัง เรื่องผลข้างเคียงด้วย

– เมื่อร่างกายเกิดการชินยาแก้แพ้ การเปลี่ยนชนิดของยาแก้แพ้ชนิดเดิมไปเป็นชนิดใหม่ภายในระยะเวลา 1-2 เดือน ส่วนใหญ่จะทำให้กลับมาใช้ยาชนิดเดิมได้อีก

– ในกลุ่มเด็กทารก ควรเพิ่มความระวังในการใช้เป็นพิเศษ เนื่องจากเด็กทารกมีความไวต่อการตอบสนองต่อยานี้มาก อาจเกิดผลกระตุ้นประสาท ทำให้เกิดอาการตื่นเต้น กระวนกระวาย ร้องโยเย หรือรุนแรงถึงขั้นชักได้

3. รู้จักข้อจำกัดของยา กรณีนี้แยกเป็น 2 กลุ่ม

– ข้อจำกัดของยาแก้แพ้รุ่นเดิม (ง่วงนอน) คือ ทำให้ปากแห้ง จมูกแห้ง ปัสสาวะลำบาก ที่สำคัญทำให้ง่วงนอน จึงไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ร่วมกับการดื่มสุรา หรือยากดประสาท เช่น ยานอนหลับ ยาคลายเครียด ไม่ควรใช้ตอนขับรถ หรือควบคุมเครื่องจักร แต่อีกมุมหนึ่งผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงนี้ กลับมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่ต้องการการพักผ่อน เช่น โรคหวัด หรือแพ้อากาศ เพราะยานี้จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

– ข้อจำกัดของยาแก้แพ้รุ่นใหม่ (ไม่ง่วงนอน) คือ ยาจะออกฤทธิ์ช้า แต่มีฤทธิ์อยู่ได้นาน ดังนั้นผู้ป่วยอาจต้องกินยานี้ต่อเนื่องหลายวันจึงเห็นผล อีกทั้งยาแก้แพ้รุ่นใหม่จะลดน้ำมูก และอาการคัดจมูกได้ไม่ดีเท่ายาแก้แพ้รุ่นเดิม

ถ้าจำเป็นต้องกินยาแก้แพ้ติดต่อกันนาน ๆ ควรเลือก “ยาแก้แพ้กลุ่มไม่ง่วงนอน”

หากผู้ป่วยภูมิแพ้ จำเป็นต้องใช้ยาแก้แพ้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน แนะนำให้ใช้ “ยาแก้แพ้ชนิดที่ 2 ไม่ง่วง” (ตัวอย่างยา เช่น Loratadine, Levocetirizine, Desloratadine) เนื่องจากมีความปลอดภัย เข้าสู่กระแสเลือดน้อยกว่าในกลุ่มยาแก้แพ้กลุ่มดั้งเดิม (กลุ่มที่ 1 ใช้แล้วง่วงซึม)

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอาการภูมิแพ้ ไม่ควรปล่อยให้เรื้อรัง ควรหาสาเหตุที่ทำให้แพ้ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ รวมถึงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ ซึ่งทางการแพทย์ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาอาการภูมิแพ้ และยังลดการใช้ยาไปได้มาก หรืออาจไม่ต้องรับประทานยาอีกเลย

อ่านเพิ่มเติม -> ยาแก้แพ้ มีกี่ชนิด และควรเลือกอย่างไรดี?

GED good life สรุปให้…

1. ยาแก้แพ้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. ทำให้ง่วงนอน (รุ่นดั้งเดิม) 2. ไม่ทำให้ง่วงนอน (รุ่นใหม่)

2. ยาแก้แพ้ชนิดที่ 2 มีความปลอดภัยมากกว่าชนิดที่ 1 ตัวอย่างยา เช่น ลอราทาดีน (Loratadine), เดสลอราทาดีน (Desloratadine)

3. หากต้องกินยาแก้แพ้เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ควรเลือก ชนิดที่ 2 เพราะมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ง่วงน้อยกว่า นอกจากนี้ยังสะดวกเพราะ ยาออกฤทธิ์นาน รับประทานเพียงวันละ 1 ครั้ง

4. วิธีรักษาอาการภูมิแพ้ที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ และปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ต่าง ๆ

5. “ยาแก้แพ้ ไม่ใช่ยาอันตราย” แต่ควรใช้ให้ถูกต้อง สามารถปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร ก่อนใช้ยา

 

อ้างอิง : สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close