ท้องเสียขณะตั้งครรภ์ ถ่ายบ่อย ส่งผลเสียต่อลูกในครรภ์ไหม ควรดูแลอย่างไรดี?

ท้องเสียขณะตั้งครรภ์

คุณแม่คนไหนเป็นบ้าง ก่อนตั้งครรภ์ก็ไม่ค่อยจะมีอาการท้องเสียเท่าไหร่ แต่พอตั้งครรภ์แล้วท้องเสียบ่อย จนอดกังวลไม่ได้ว่าจะกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์หรือไม่? คุณแม่อย่าเพิ่งกังวลจนเกินไป… มาดูกันว่า ท้องเสียขณะตั้งครรภ์ เกิดจากอะไร มีผลต่อลูกในครรภ์หรือไม่ และควรดูแลตนเองขณะที่ท้องเสียอยู่อย่างไร? มาดูคำตอบกัน

ต้องถ่ายบ่อยแค่ไหน ถึงเรียกว่าท้องเสีย?

ท้องเสีย หรือ อุจจาระร่วง (Diarrhea) หมายถึง คืออาการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ภายใน 24 ชม. โดยทั่วไปอาการท้องเสียมักเกิดขึ้น และอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน หรือด้วยการทานยาสามัญประจำบ้าน

ระยะเวลาของอาการท้องเสีย สามารถแบ่งได้ดังนี้

  • ท้องเสียแบบเฉียบพลัน (Acute diarrhea) – ท้องเสียประมาณ 1-3 วัน
  • ท้องเสียแบบต่อเนื่อง (Persistent diarrhea) – ท้องเสียต่อเนื่องประมาณ 2-4 สัปดาห์
  • ท้องเสียแบบเรื้อรัง (Chronic diarrhea) – ท้องเสียต่อเนื่องเกิน 4 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ

ท้องเสียขณะตั้งครรภ์ เกิดจากสาเหตุอะไร?

อาการท้องเสียสำหรับคนทั่วไปมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือพยาธิ ในระบบทางเดินอาหาร แต่สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ จะมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้

  1. พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไปขณะตั้งครรภ์ เช่น การกินอาหารขณะมีอาการแพ้ท้อง
  2. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งอาจรบกวนกระบวนการย่อยอาหาร
  3. เกิดจากสภาพจิตใจและอารมณ์ เช่น ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล
  4. กินอาหารที่มีการปนเปื้อน ท้าให้ติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น กินผักสดที่ล้างไม่สะอาด อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารหมักดอง อาหารทะเลที่ไม่สด ดื่มน้้าไม่สะอาด จนเกิดอาการอาหารเป็นพิษ ท้าให้ท้องเสีย
  5. มีความไวต่ออาหารชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นอาหารปกติที่กินบ่อย ๆ แต่เมื่อตั้งครรภ์ กลับท้าให้ท้องไส้ปั่นป่วน หรือมีอาการท้องเสียได้

แม้ว่าอาการท้องเสียจะไม่ใช่สัญญาณของการตั้งครรภ์แต่เนิ่น ๆ แต่ก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจมีอาการท้องร่วง หรือปัญหาทางเดินอาหารอื่น ๆ ในช่วงไตรมาสแรก

อาการท้องเสีย ส่งผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่?

เป็นคำถามที่คุณแม่ตั้งครรภ์กังวลมากที่สุด! ซึ่งคำตอบก็เป็นที่โล่งใจได้ว่า อาการท้องเสียโดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายต่อคุณแม่ และลูกน้อยในครรภ์ เพราะ อาการท้องเสียเป็นกลไกของร่างกายที่จะขับของเสียออกมา ซึ่งปกติแล้วอาการเหล่านี้มักจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง หรือเรื้อรังไม่เกิน 3 วัน

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรดูแลตัวเองไม่ให้ท้องเสียบ่อยระหว่างตั้งครรภ์ เพราะระหว่างที่ท้องเสียอาจไม่สามารถทานยาบำรุงครรภ์ได้ตามปกติ และขณะที่ท้องเสีย คุณแม่ต้องระวังเรื่องภาวะร่างกายขาดน้ำ และถ้าถ่ายผิดปกติมาก เช่น มีมูกปนมากับของเสีย อาเจียนรุนแรง มีไข้ และมีอาการนานกว่า 48 ชั่วโมง ควรพบแพทย์โดยด่วน

ท้องเสียขณะตั้งครรภ์

อาหารที่ควรระวัง! มักทำให้คุณแม่ท้องเสีย

การบริโภคอาหารขณะตั้งครรภ์อยู่เป็นเรื่องสำคัญ และควรใส่ใจ โดยอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่ไม่ควรรับประทานขณะตั้งครรภ์ ได้แก่

  1. น้ำปั่นข้างทาง เพราะ น้ำแข็งที่ใช้มักเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อ อี.โคไล สาเหตุของท้องเสีย
  2. ปลาดิบ อาจจะเป็นในรูปแบบซาซิมิ ซูชิ ซึ่งอาจนำเชื้อโรค และพยาธิตัวกลมเข้าสู่ร่างกาย
  3. หอย โดยเฉพาะหอยนางรม หอยแมลงภู่ดองน้ำปลา และหอยแครงลวกไม่สุกอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย วิบริโอ และเกิดอาหารเป็นพิษได้
  4. ส้มตำปูปลาร้า ควรหลีกเลี่ยงการใส่ ปูดิบ ปลาร้าดิบลงไป เพราะอาจทำให้ท้องร่วง ท้องเสีย หรือได้รับเชื้อพยาธิได้
  5. อาหารที่แพ้ เช่น อาหารทะเล กุ้ง ปู นมวัว หรืออาหารอื่น ๆ ที่แม่ตั้งครรภ์ทานแล้วแพ้ ก็ไม่ควรทานขณะตั้งครรภ์

ท้องเสียขณะตั้งครรภ์ ทานยาอะไรได้บ้าง?

หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการท้องเสียบ่อย สิ่งแรกที่ควรทำก่อนจะเลือกซื้อยามาทานเอง คือ ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลครรภ์ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำเรื่องการใช้ยารักษาท้องเสียอย่างเหมาะสม ข้อสำคัญไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะใช้เองก่อนไปพบแพทย์

ส่วนยาที่สามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องเสียสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ มีดังต่อไปนี้

1. ยาผงถ่าน หรือยาคาร์บอน (Activated Charcoal) – ช่วยลดอาการแน่นท้อง และทำให้อุจจาระเหลวน้อยลง

วิธีใช้

  • กิน 2 เม็ดทันทีที่มีอาการ
  • กินซ้ำได้ทุก 3-4 ชั่วโมง ตามความรุนแรงของอาการ
  • หากถ่ายบ่อย หรือถ่ายเป็นน้ำให้กินยาให้ถี่ขึ้น
  • ไม่ควรใช้เกิน 16 เม็ดต่อวัน

ข้อควรระวัง : คาร์บอนไม่ได้ดูดซับเฉพาะสารพิษ แต่ยังดูดซับทุกอย่างที่ดูดซับได้ เช่น อาหาร หรือยาบางชนิด คาร์บอนก็ดูดซับตัวยาเข้าไปด้วย จึงต้องระมัดระวังการใช้ยา

2. ผงเกลือแร่โออาร์เอส (ORS) – ช่วยทดแทนการเสียน้ำจากอาการท้องเสีย หรืออาเจียน

วิธีใช้

  • ชง 1 ซอง ผสมน้ำสะอาดตามปริมาณที่ระบุไว้ที่ชองยา
  • ดื่มจนหมด หรือค่อย ๆ จิบถ้ามีอาการคลื่นใส้

ข้อควรรู้ : เมื่อท้องเสีย ห้ามใช้เกลือแร่สำหรับผู้ออกกำลังกาย เพราะ จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการท้องเสียได้ เนื่องจากเครื่องดื่มชนิดนี้จะมีปริมาณน้ำตาลและเกลือแร่บางชนิดที่สูงกว่า ทำให้ร่างกายดึงน้ำเข้ามาในทางเดินอาหารส่งผลให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้น กระตุ้นการถ่ายเหลวมากขึ้น

GED good life สรุปให้

  1. อาการท้องเสียทั่วไปขณะตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องปกติ อาจเกิดขึ้นไม่เกิน 3 วันก็หายไป และไม่มีผลต่อเด็กในครรภ์
  2. แต่ถ้าหากมีอาการท้องเสียร่วมกับอาการมีไข้ อ่อนเพลีย ร่างกายขาดน้ำ มีมูกปนมากับของเสีย อาเจียนรุนแรง ควรพบแพทย์โดยด่วน
  3. การรับประทานยาในขณะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ และควรทานยาแค่ที่จำเป็นในปริมาณที่น้อยที่สุด เพราะยาอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้
  4. เมื่อท้องเสีย ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำนาน ควรจิบเกลือแร่ ORS เพื่อช่วยทดแทนการเสียน้ำไป

 

อ้างอิง : 1. รพ. เมดพาร์ค 2. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย 3. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 4. สภากาชาดไทย 5. hfocus 6. รพ.ศิครินทร์ 7. รพ. พญาไท

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close