ไอเรื้อรัง เกิดจากอะไร เสี่ยงโรคอะไรบ้าง ทำยังไงให้หายไอ?

ไอเรื้อรัง

ไอเรื้อรัง เป็นสัญญาณของการเกิดโรคได้มากมาย โดยเฉพาะ โรคมะเร็งปอด ที่เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตของคนไทยทั้งในเพศชาย และเพศหญิง ฉะนั้น หากใครที่กำลังไอเรื้อรังอยู่ต้องไม่ประมาท ควรรีบไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ จะได้รับการตรวจรักษาอย่างทันท่วงที และในบทความนี้ จะพาทุกคนไปเรียนรู้กันว่า อาการไอเรื้อรัง คืออะไร ไอนานแค่ไหนถึงเรียกว่าเรื้อรัง และสามารถบ่งชี้ถึงโรคอะไรได้บ้าง มาติดตามกันเลย!

– รู้หรือไม่? ยาลดความดันทำให้ไอเรื้อรัง ได้นะ!
– อาการไอเรื้อรัง ของลูกเกิดจากอะไร รักษายังไงดี ?
– 12 วิธีแก้ไอให้หายไวไว ลองทำดู ได้ผลแน่นอน!

Solmax ยาละลายเสมหะ เพื่อบรรเทาอาการไอ

ไอเรื้อรังคืออะไร ไอนานแค่ไหนเรียกว่าเรื้อรัง?

ไอเรื้อรัง หรือ Chronic Cough คือ อาการไอที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ในผู้ใหญ่ไอติดต่อกันนานเป็นเวลา 8 สัปดาห์ขึ้นไป ในเด็กไอติดต่อกันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ป่วยไอเรื้อรังไม่จำเป็นต้องรอให้ไอนานถึง 8 สัปดาห์ (หรือ 2 เดือน) แต่ควรมาพบแพทย์เมื่อมีอาการไอนานเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อจะได้ประเมินหาสาเหตุของอาการไอได้ทันท่วงที

อาการไอเรื้อรังก่อให้เกิดปัญหาต่อชีวิตผู้ป่วย ดังต่อไปนี้

  • ทางกาย (Physical) เช่น ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะวัณโรค และ มะเร็งปอด เป็นต้น
  • ทางจิตใจ (Psychological) เช่น ขาดความมั่นใจในตนเอง มีความวิตกกังวล เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ เป็นต้น
  • ทางสังคม (Social) เช่น ไม่กล้าเข้าสังคม เพราะกลัวจะไปไอใส่ผู้อื่น กลายเป็นคนเก็บตัวมากกว่าเดิม เป็นต้น

เราสามารถแบ่งชนิดของอาการไอ ตามระยะเวลาของอาการไอ ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1. ไอเฉียบพลัน – มีอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เป็นหวัด โพรงไซนัสอักเสบเฉียบพลัน คอหรือกล่องเสียงอักเสบ หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพองกำเริบ และปฏิกิริยาจากโรคภูมิแพ้

2. ไอกึ่งเฉียบพลัน – มีอาการไอประมาณ 3-8 สัปดาห์ มักเกิดจากโรคติดเชื้อ หรือปฏิกิริยาหลังการติดเชื้อ

3. ไอเรื้อรัง – มีอาการไอนานกว่า 8 สัปดาห์ กลุ่มโรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคหืด, โรคถุงลมโป่งพองและหลอดลมอักเสบเรื้อรัง, โรคระบบทางเดินหายใจส่วนบนเช่นไซนัสอักเสบ น้ำมูกไหลทางหลังจมูก, โรคกรดไหลย้อน, การสูบบุหรี่, ยาลดความดัน angitensin-converting enzymes

ไอเรื้อรัง มีสาเหตุจากอะไร?

  • โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
  • โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง
  • การใช้เสียงมากทำให้เกิดสายเสียงอักเสบเรื้อรัง
  • เนื้องอกบริเวณคอ กล่องเสียง หรือหลอดลม
  • กรดไหลย้อน
  • หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
  • หืด
  • วัณโรคปอด
  • มะเร็งปอด
  • ใช้ยารักษาความดันโลหิตสูงชนิด ACE-I เป็นระยะเวลานาน
  • โรคของสมองส่วนที่ควบคุมการไอ

ทั้งนี้ สาเหตุที่พบส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 85 ของผู้ป่วยที่แข็งแรงดีมาก่อน ไม่สูบบุหรี่ และมีภาพรังสีทรวงอกปกติ มักเกิดจาก โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง แล้วมีน้ำมูกไหลลงคอ โรคหืด และโรคกรดไหลย้อน

แพทย์ชี้! ไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ น้ำหนักลด อาจเป็น “วัณโรคปอด”

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย นายกสมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทย แนะประชาชนหากมีอาการไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร เหงื่อออกกลางคืน หรืออยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยวัณโรค โดยเฉพาะเด็ก ให้ไปรับการตรวจคัดกรองที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งโรคนี้มียารักษาหายขาด จะได้ผลดีถ้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน ร่วมกับการพักผ่อนให้เพียงพอ

ไอเรื้อรัง

ระวัง! ไอเรื้อรัง อาจนำคุณไปสู่โรคเหล่านี้

– วัณโรคปอด ในระยะแรกอาจจะไม่มีอาการใด ๆ แต่เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น จะมีอาการไอเรื้อรัง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางรายอาจไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย

– มะเร็งปอด จะมีอาการไอเรื้อรังเมื่อโรคเป็นมากขึ้น บางรายอาจไอออกมาเป็นเลือดสด ๆ บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือมีไข้ร่วมด้วย

ถุงลมโป่งพอง มักพบในผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่จัด หรืออยู่ใกล้กับผู้ที่สูบบุหรี่จัดมานาน มักไอแบบมีเสมหะเรื้อรัง หอบเหนื่อยง่าย มีหายใจเสียงดัง

โรคหอบหืด มักมีอาการไอ โดยเฉพาะเวลากลางคืนเมื่ออากาศเย็น เหนื่อยง่ายและหายใจมีเสียงวี๊ด แต่ก็มีผู้ป่วยจำนวนมาก ที่เป็นโรคหอบหืดชนิดที่ไม่รุนแรง และไม่เคยมีอาการหืดจับหรือเหนื่อยง่ายเลย มีเพียงไอเรื้อรังเท่านั้น

โรคภูมิแพ้อากาศ ผู้ป่วยมักจะมีอาการ คัดจมูก น้ำมูกไหล และมี น้ำมูกไหลลงคอ เวลานอน ทำให้มีอาการไอเรื้อรัง มักมีอาการเมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ อากาศเย็น เป็นต้น

ไซนัสอักเสบ มักเป็นหวัดคัดจมูก หรือโรคภูมิแพ้อากาศนำมาก่อน บางรายอาการหวัดอาจดีขึ้นในช่วงแรก แล้วทรุดลงในภายหลัง มัก ไอเวลากลางคืน เพราะ น้ำมูกไหลลงคอ

กรดไหลย้อน ผู้ป่วยที่มี กรดในกระเพาะ และกรดไหลย้อนกลับเข้ามาในหลอดอาหาร หรือ GERD อาจมีอาการไอเรื้อรังได้ มักไอแห้ง ๆ โดยเฉพาะหลังอาหาร หรือเวลาล้มตัวลงนอน อาจมีอาการแสบร้อนในอก หรือเรอเปรี้ยว ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

– ภาวะทางเดินหายใจไวต่อสิ่งกระตุ้น มักพบต่อเนื่องจากการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ คือ เป็นหวัดคัดจมูก และหายแล้ว แต่ยังมีอาการไออยู่ มักจะไอมากในช่วงกลางคืน หรือเวลาที่อากาศเย็น ๆ ถูกลม เป็นต้น

– ภาวะทางจิตใจมีปัญหา มีคนเป็นจำนวนมากที่ไอ หรือกระแอม โดยที่ร่างกายต่างก็ปกติดี ไม่มีโรคใด ๆ อาการนี้เรียกกันว่า Psychogenic หรือ Habit Cough หรือก็คือ การไอจนติดเป็นนิสัย เมื่อเข้ารับการวินิจฉัย มักไม่พบว่ามีโรคที่เป็นสาเหตุของอาการไอ และมีการตั้งข้อสันนิฐานว่า น่าจะเป็นอาการไอเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากเหตุผลทางจิตใจ

ภาวะแทรกซ้อนของอาการไอเรื้อรัง

ภาวะแทรกซ้อนของอาการไอเรื้อรัง เป็นอาการที่อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ทำให้เกิดความยากลำบากในการทำกิจกรรมประจำวันต่าง ๆ เนื่องจากไอบ่อย และทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น

  • เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
  • ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • รู้สึกไม่สบายกล้ามเนื้อ
  • นอนไม่หลับ
  • เสียงแหบ
  • เหงื่อออกมาก
  • มีเลือดออกในตาเล็กน้อย
  • ปัสสาวะเล็ด
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไส้เลื่อน
  • ไอมาก หรือไอรุนแรงจนซี่โครงหัก

ไอเรื้อรัง มีวิธีรักษาอย่างไร?

วิธีรักษาอาการไอเรื้อรังที่สำคัญที่สุด คือ การหาสาเหตุของอาการ เพราะบางครั้งอาการไอเรื้อรังก็อาจหายเองได้ และบางครั้งก็เป็นโรคร้ายแรง หรือโรคที่ต้องรับการตรวจวินิจฉัย และรีบทำการรักษา จึงควรรีบไปพบแพทย์ และไม่ปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป

นอกจากนี้ คุณสามารถดูแลตนเอง ในระหว่างที่มีอาการไอเรื้อรังได้ด้วยวิธีเหล่านี้

  • ดื่มน้ำอุ่น อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
  • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ เพื่อช่วยกำจัดเสมหะ
  • เสริมหมอนเวลานอนให้สูงขึ้น เพื่อช่วยยกศีรษะและลำตัวช่วงบน
  • ใช้ยาอม ยาแก้ไอ เพื่อลดอาการไอ
  • ปฏิบัติตนตามแผนการรักษาที่แพทย์แนะนำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษา

6 วิธีแก้ไอ

การป้องกันอาการไอเรื้อรัง

  • งดสูบบุหรี่ เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของอาการไอเรื้อรัง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่นควัน มลพิษ
  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ปอดบวม หลอดลมอักเสบ เพื่อป้องกันการติดโรค
  • ในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยการทานผักผลไม้ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่อาจเป็น โรคหลอดลมอักเสบ หรือปอดปวม

อ้างอิง : 1. สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย 2. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 3. สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

บทความที่เกี่ยวข้อง

Subscription

  • This field is for validation purposes and should be left unchanged.
Ask the Expert Close